xs
xsm
sm
md
lg

SCB จับตาสินเชื่อกลุ่มเกษตร หวั่นซ้ำรอยปล่อยกู้โรงสีข้าว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แบงก์ไทยพาณิชย์คุมเข้มสินเชื่อโรงสี หลังผู้กู้ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์และขอกู้ซ้ำซ้อน ส่งผลหนี้เสียของระบบเพิ่มขึ้น จับตาผู้ประกอบการน้ำตาล ยางพารา หวั่นซ้ำรอยเดิม พร้อมคุมเอ็นพีแอลแบงก์ไม่ให้เกิน 5% ล่าสุดออกหุ้นกู้ 10 ปี ดอกเบี้ยสูงสุด 6.25% เปิดจอง 12-14 พ.ค.นี้ คาดขายหมดแน่ แต่หากจองเกินยันไม่มีออกเพิ่ม

นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้มีโรงสีข้าวจำนวนมากใช้เงินกู้ผิดวัตถุประสงค์ จากเดิมขอสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน แต่นำเงินกู้ดังกล่าวไปสร้างโรงงาน หรือสร้างไซโล ส่งผลให้ธนาคารต้องเข้าไปแก้ไขหนี้ นอกจากนี้ยังมีโรงสีข้าวบางราย ที่นำสต็อกข้าวที่จำนำไว้กับธนาคาร นำไปกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นๆ ทำให้ธนาคารปล่อยเงินกู้ซ้ำซ้อนในจุดนี้ได้มีการหารือในสมาคมธนาคารไทย เพื่อประสานงานให้พนักงานธนาคารแต่ละแห่งเข้าไปตรวจสอบสต็อกข้าวพร้อมกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าสต็อกมีข้าวอยู่จริง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดจากโรงสีใช้เงินผิดประเภท และมีโรงสีบางรายหมุนเวียนสต็อก ส่งผลให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น ในจุดนี้เองทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

ทั้งนี้ การที่ธนาคารต้องการแก้ไขปัญหาโรงสีหมุนเวียนสต็อกข้าว ก็เพื่อเป็นการป้องกัน และป้องปรามไม่ให้โรงสีแห่งอื่นๆ ทำตาม เพราะหากเกิดกรณีรายหนึ่งรายใดทำได้ ก็จะให้เกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบโรงสีแห่งอื่นจะทำตาม ดังนั้นจำเป็นต้องหยุด ไม่ให้มีการโกงเกิดขึ้น และหากไม่สามารถหยุดได้ก็จะทำให้ลามไปธุรกิจอื่นๆ เช่น น้ำตาล หรือยางพารา

สำหรับการแก้ไขปัญหาเพื่อหยุดการหมุนเวียนสต็อกข้าวในระยะสั้นนั้น ทำได้โดยจะต้องเข้าไปตรวจเช็คสต็อก และระยะยาว ต้องแก้ไขกฎหมายการรับจำนำ เนื่องจากกฎหมายเดิมไม่สามารถฟ้องอาญาได้ ฟ้องได้แต่คดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย ทำให้ผู้กระทำความผิดไม่กลัว

"โรงสีข้าวที่ทำธุรกิจตรงไปตรงมา ธนาคารก็พร้อมที่จะสนับสนุนสินเชื่อ แต่ในช่วงที่ผ่านมา มีโรงสีข้าวจำนวนมากได้มีการใช้เงินกู้ผิดวัตถุประสงค์ อีกทั้งธนาคารแยกไม่ออกว่าข้าวที่กองไว้ในโกดัง เป็นของธนาคารใด ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้มีการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) เข้าไปคุม เพื่อไม่ต้องการให้โยกย้ายข้าว ตอนนี้ไม่ได้ตรวจเช็คทุกชั่วโมง เพราะเริ่มดีแล้วและเริ่มดึงรปภ.กลับแล้ว อย่างไรก็ตามการการส่งรปภ.เข้าไปดูแลข้าวทุกครั้ง ธนาคารได้ขออนุญาตจากโรงสี"

อย่างไรก็ตาม การปล่อยสินเชื่อให้แต่ละธุรกิจ ธนาคารได้มีการแบ่งสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อชัดเจน เพื่อบริหารความเสี่ยง โดยในส่วนของโรงสีข้าว ธนาคารได้ปล่อยเต็มเพดานที่กำหนดไว้ตั้งแต่กว่า 1 ปีที่ผ่านมา จึงไม่ได้มีการปล่อยสินเชื่อเพิ่ม หรือปล่อยกู้ให้กับรายใหม่เพิ่มเติม

**ออกหุ้นกู้2หมื่นล้านดบ.ปีแรก4.25%**

นางกรรณิกา กล่าวว่า ธนาคารได้ออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์วงเงิน 20,000 ล้านบาท อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มตามระยะเวลา โดยปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 4.25 %ต่อปี ปีที่ 3-6 ดอกเบี้ย 5.25 % และปีที่ 7-10 ดอกเบี้ย 6.25 % กำหนดขายระหว่างวันที่ 12-14 พ.ค.นี้ ทั้งนี้เพื่อนำเงินไปรองรับการขยายสินเชื่อ รวมทั้งรองรับความเสี่ยงด้านการตลาด และการปฎิบัติงาน จากเกณฑ์ Basel II และรองรับสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทในกลุ่มของธนาคารตามมาตรฐานการกำกับดูและแบบรวมกลุ่ม ทั้งนี้ภายหลังจากการออกหุ้นกู้ เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) โดยเงินกองขั้นที่ 2 จะเพิ่มขึ้นจาก 2.5 % เป็น 5 % และหลังจากออกหุ้นกู้ทำให้ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้นจาก 2.35 % เป็น 2.39 %

"ธนาคารได้สำรวจตลาดพบว่ามีความต้องการมาก เชื่อว่าจะขายได้หมด เนื่องจากดอกเบี้ยหุ้นกู้ 1-2 ปีแรกจ่ายดอกเบี้ย 4.25 % สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ปัจจุบันอยู่ที่ 2.35 % ซึ่งหากขายหมดแล้วจะยังไม่ออกเพิ่มเติม และหุ้นกู้ในครั้งนี้ต้องการออกให้ลูกค้า จึงได้กำหนดอัตราการจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท แต่หากหากลูกค้าของธนาคารแห่งอื่นสนใจก็ซื้อได้"

นางกรรณิกา กล่าวว่า แนวโน้มสินเชื่อไตรมาส 2 น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากลูกค้าปกติและลูกค้าเอสเอ็มอี หลังจากเดือนมีนาคมที่ผ่านมายอดสินเชื่อลดลงจากการที่ลูกค้ารอความชัดเจนเรื่องมาตรการภาษี ส่วนเอ็นพีแอลคงจะไม่ได้ขายออกมากนัก เนื่องจากการขายออกไปนั้นจะต้องใช้เวลาในการพิจารณาหลายเดือนโดยปีนี้คาดว่าเอ็นพีแอลก่อนหักสำรองน่าจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 5%

นายภากร ปีตธวัชชัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริหารการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อจากนี้น่าจะอยู่ในระดับที่ทรงตัว โดยที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้มีการขยับขึ้นมาค่อนข้างมากและยังมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อย แต่จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทำให้อัตราดอกเบี้ยตอนนี้ค่อนข้างนิ่งเพื่อรอดูสถานการณ์รวมถึงราคาน้ำมันซึ่งตอนนี้ขยับขึ้นมาสูงถึง 120 เหรียญต่อบาเรลซึ่งเป็นเพดานสูงสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ประมาณการณ์ไว้

"เรื่องแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยต่อจากนี้เป็นอะไรที่น่าคิดว่าจะไปไงสำหรับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แต่เชื่อว่าคงไม่มีการปรับลดลงแล้ว ส่วนภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่แข็งแกร่ง ก็คงยังจะไม่สามารถปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นได้ ตอนนี้ก็คงยังต้องทรง ๆ ต่อไปก่อน และต้องดูเหตุการณ์ภายนอกประเทศด้วยว่าเป็นอย่างไร"
กำลังโหลดความคิดเห็น