xs
xsm
sm
md
lg

หวั่นต่างชาติจ้องเก็งกำไรค่าบาท ธปท.เข้มจ่อกฎเหล็กสกัด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้ว่าฯ ธปท.แจงเงินบาทอ่อนค่าเหตุต่างชาติซื้อเงินดอลลาร์มากขึ้น ระบุตอนนี้เงินบาทแตะ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไม่ได้ฮวบฮาบเป็นไปตามกลไกตลาด เชื่อสถานการณ์นี้เป็นช่วงสั้นๆ และต้องจับตาดูกรณีกองทุนต่างชาติเข้าไปผสมโรงในการซื้อเงินดอลลาร์ ชี้เงินเฟ้อโลกยังไม่ถึงจุดสูงสุด ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีก หลังราคาน้ำมัน-สินค้าอุปโภคบริโภคยังพุ่งไม่หยุด และการประชุมกนง. 21 พ.ค.นี้ จะนำข้อมูลปัจจัยต่างๆ เข้าพิจารณา

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนมาแตะที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเกิดจากต่างชาติเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์มากขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองต่างชาติว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะไปในทิศทางใด แต่เชื่อว่าสถานการณ์นี้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศเองก็ยังไม่มีอะไรผิดปกติ โดยผู้ส่งออกมีแรงเทขายน้อยลงและผู้นำเข้าเองก็มีแรงซื้อไม่มากนัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ธปท.จะติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด

“การที่เงินบาทอ่อนค่ากว่า 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไม่ได้ผันผวนหรือฮวบฮาบจนเกินไป ซึ่งการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในตอนนี้เป็นไปตามกลไกตลาด และธปท.ก็พยายามดูแลให้เป็นไปตามแนวทางนี้ตลอด คือ ไม่ให้เงินบาทมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอ่อนหรือแข็งมากเกินไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราจะติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด และติดตามแนวโน้มด้านอุปสงค์อุปทานในตลาดด้วย รวมถึงการเข้ามาของกองทุนต่างชาติที่มาผสมโรงในการเข้ามาช้อนซื้อเงินดอลลาร์มากขึ้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีว่าเข้ามาเก็งกำไรและเราจะติดตามเรื่องนี้ต่อไป”

ส่วนกรณีที่กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยออกมาระบุว่าในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาธปท.มีการออกพันธบัตรมามากเกินไป เพื่อเข้าไปช่วยดูแลค่าเงินบาท และแนวโน้มจะมีการออกพันธบัตรเพิ่มเติมอีก นั้น ผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า การออกพันธบัตรของธปท.มีการกำหนดเวลาที่แน่นอนอยู่แล้ว และไม่ได้เป็นการออกพันธบัตร เพื่อมาดูแลค่าเงินบาทอย่างเดียว ซึ่งความจำเป็นในเรื่องนี้เริ่มมีน้อยลงและเข้าไปดูแลเรื่องอื่นด้วย

ทั้งนี้ ค่าเงินบาทวานนี้เปิดตลาดที่ระดับ 32.18-32.21 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยอ่อนค่าสุดที่ระดับ 32.31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในช่วงเย็นที่ระดับ 32.28-32.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

**จับตาเงินเฟ้อยังพุ่งต่อ**

นอกจากนี้ นางธาริษายังกล่าวในงานสัมมนา The Thailand Investment Forum วานนี้ ว่า ปัญหาเงินเฟ้อในปัจจุบันนี้ยอมรับว่าอยู่ในระดับสูง โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ระดับ 5% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ระดับ 1.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 6.2% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2.1% ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่เงินเฟ้อพื้นฐานของไทยจะยังไม่สูงขึ้นมาก ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)วันที่ 21 พ.ค.นี้ จะมีการหารือและนำข้อมูลปัจจัยต่างๆ ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจและผลกระทบระลอก 2 จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเข้าพิจารณาในที่ประชุม เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายการเงินในอนาคตต่อไป

อย่างไรก็ตาม มองว่าขณะนี้อัตราเงินเฟ้อของโลกยังไม่ถึงจุดสูงสุด เพราะยังได้รับแรงกดดันจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ขณะที่ความต้องการด้านสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันยังมีอยู่ รวมทั้งสภาพภูมิอากาศที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์จะไปกดดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นในอนาคต

“ปีนี้จะเห็นการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของเศรษฐกิจ จากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุน การเบิกจ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยมองไปข้างหน้าในปีนี้ เครื่องยนต์ 3 ตัวนี้เป็นตัวสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ” ผู้ว่าการธปท. กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในปี 2551 นี้ ปัจจัยภายนอกยังมีความผันผวนมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามดูต่อไปว่าจะลดลงไปอีกมากน้อยแค่ไหน หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงรุนแรง ซึ่งวิกฤตของสหรัฐฯกระทบกับไทยโดยตรงทางด้านการค้า ซึ่งต้องดูว่าจะกระทบกับดุลการค้ามากน้อยแค่ไหน โดยไตรมาสแรกของปีนี้ ไทยเกินดุลการค้า 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าทั้งปีไทยจะเกินดุลการค้า 4-7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น