“หมอเลี้ยบ” ร่ายมนต์สยบข่าวลมปาก “หมัก” พูดแบงก์เจ๊ง ทำลูกค้า 2 แบงก์ ปั่นป่วน 2 วันซ้อน ชี้นายกฯ แค่ต้องการส่งสัญญาณให้ธนาคารเร่งพัฒนาตัวเอง ด้านผู้บริหารเต้น เปิดแถลงข่าวแจงจ้าละหวั่น ยอมรับมีสายลูกค้า-นักลงทุนโทร.เข้ามาสอบถามตลอดทั้งวัน พร้อมยืนยัน ฐานะยังแข็งแกร่ง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นพ. สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (8 พ.ค.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงสิ่งที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี พูดในรายการ “ถามจริงตอบตรง” โดยเชื่อว่า นายสมัคร คงไม่ได้หมายความว่า ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) และไทยธนาคาร (BT) มีปัญหาทางการเงินจนไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เพียงแต่พูดในหลักการว่าการแข่งขันในระบบสถาบันการเงินจะมีมากขึ้น ความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญในอนาคต
ดังนั้น หากธนาคารจะพัฒนาให้มีความแข็งแกร่งก็จะต้องหาหุ้นส่วน หรือพันธมิตรเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบสถาบันการเงินของไทยที่พรัอมจะแข่งขันในอนาคตได้
ทั้งนี้ ตนเองยืนยันว่า สถาบันการเงินดังกล่าวไม่มีปัญหาสภาพคล่องอย่างแน่นอน อีกทั้งขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียด เรื่องการนำเงินจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน 8,000 ล้านบาท ใช้แก้ไขปัญหาสภาพคล่องของธนาคารดังกล่าว
“ขณะนี้ในระบบสถาบันการเงินของโลกมีการแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น ในระบบสถาบันการเงินของไทยควรจะต้องมองหาหุ้นส่วนทางธุรกิจ เพื่อมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบงก์โดยเร็ว ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ เพราะสถาบันการเงินในระดับโลกมีความมั่นคงและมีการแข่งขันที่สูง สถาบันการเงินของไทยจึงต้องปรับตัวตาม”
**BT มั่นใจผู้ถือหุ้น ตปท.รับลูกค้าโทร.สอบถามอื้อ
นายสุรชัย จิตตรัตน์เสนีย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) หรือ BT กล่าวว่า ขณะนี้บรรยากาศการถอนเงินของธนาคารยังไม่มีความผิดปกติ แต่มีลูกค้าโทรศัพท์เข้ามาสอบถามถึงกระแสข่าวที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินกำลังเตรียมจะการขายหุ้นธนาคารให้กับต่างชาติ
ทั้งนี้ ธนาคารยืนยันว่า ไม่มีปัญหา เพราะทางผู้ถือหุ้น TPG NEWBRIDGE และกองทุนฟื้นฟูฯ ยังให้การสนับสนุนธนาคารอยู่
“การมีผู้ถือหุ้นต่างชาติเข้ามาถือหุ้นด้วย สะท้อนสถานะของธนาคารที่ยังมั่นคง” นายสุรชัย กล่าว
ทางด้้าน นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ BT ระบุว่า ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ อีกทั้งธนาคารยังมีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่สูงและดำเนินธุรกิจตามปกติ
ที่ผ่านมา ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องทุกเดือน แต่ที่ต้องประสบภาวะขาดทุนในไตรมาสที่ 1/51 เป็นผลมาจากการเผื่อการด้อยค่า (Unrealized Loss) ของตราสาร CDO ซึ่งธนาคารคาดการณ์และเตรียมการรองรับไว้อยู่แล้ว และธนาคารต้องดำเนินการ Mark to Market ตามเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนด
“การเผื่อการด้อยค่าดังกล่าว สามารถปรับขึ้นลงได้ตามภาวะตลาด หากตลาดปรับตัวดีขึ้น ธนาคารก็สามารถ reverse ค่าเผื่อการด้อยค่าที่ได้ทำการกันสำรองไปแล้วกลับคืนมาเป็นรายได้ได้ และในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ตลาดได้ปรับตัวมีเสถียรภาพมากขึ้น ดัชนีต่างๆ ได้ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น”
นอกจากนี้ ธนาคารอยู่ระหว่างการทำแผนเพิ่มทุนเพื่อให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงแข็งแกร่งทัดเทียมกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และให้สอดคล้องตามเกณฑ์ Basel II ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2552 เป็นต้นไป และทุกธนาคารจะต้องดำเนินการเพื่อรองรับหลักเกณฑ์ดังกล่าว
นายพีรศิลป์ กล่าวถึง การที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินมีนโยบายที่จะทยอยขายหุ้นที่ถืออยู่ในธนาคารออกไป น่าจะเป็นผลดีต่อธนาคาร เนื่องจากผู้ลงทุนใหม่จะต้องผ่านการกลั่นกรองจากทางการแล้วว่าเป็นสถาบันหรือธนาคารต่างชาติที่มีฐานะแข็งแกร่ง และสามารถให้ความสนับสนุนธนาคารให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น
อนึ่ง ปัจจุบันผู้ฝากเงินทุกรายของธนาคาร ยังได้รับการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวน 100% ตามพระราชบัญญัติสถาบันประกันเงินฝาก พ.ศ.2551
**SCIB ยันฐานะแข็งแกร่ง ธปท.กังวลความเชื่อมั่นลูกค้า
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB กล่าวยืนยันว่า ฐานะของธนาคารมีความแข็งแกร่งทั้งด้านฐานะทางการเงิน สินทรัพย์ รวมถึงสินเชื่อและเงินฝาก โดยมีเงินกองทุนในระดับ 13% ซึ่งเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ประมาณ 12% และเงินกองทุนชั้นที่ 2 ประมาณ 1% กว่าๆ
สำหรับกระแสข่าวที่ว่า ฐานะของธนาคารอ่อนแอจนกองทุนฟื้นฟูฯ จะต้องขายหุ้นออกไปให้กับต่างประเทศนั้น น่าจะเป็นความเข้าใจผิด และเรื่องเกี่ยวกับตลาดทุนและตลาดเงินอ่อนไหวมาก ทำให้รับข่าวค่อนข้างเร็ว ซึ่งล่าสุด ธปท.ก็ได้สอบถามผลกระทบจากข่าวดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ เพราะผู้ฝากเงินไม่ได้เข้ามาแห่ถอนเงิน และธนาคารก็ไม่ได้ดำเนินการอะไร
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า แผนการเปิดทางให้พันธมิตรรายใหม่เข้ามาร่วมทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพนั้นยังคงเปิดกว้าง หลังจากธนาคารได้เตรียมพร้อมในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านพนักงาน ทำให้มีความพร้อมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่านักลงทุนต่างประเทศนี้ไม่ได้กังวลกับฐานะของธนาคารพาณิชย์ไทย แต่กังวลกับปัญหาทางการเมืองมากกว่า
ด้านผลการดำเนินงานของธนาคารในปีนี้นั้น นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อยังเป็นไปด้วยดี โดยเฉพาะสินเชื่อรายใหญ่ในครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตได้ดีขึ้นกว่าต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ตามการฟื้นตัวของการลงทุนในประเทศที่น่าจะมีเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นสินเชื่อรายย่อยทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อส่วนบุคคลก็ยังเติบโตได้ดี ซึ่งน่าจะทำให้ธนาคารบรรลุเป้าการขยายตัวของสินเชื่อที่ 3 หมื่นล้านบาทในปีนี้