BSEC โชว์ผลงานไตรมาสแรกปีนี้กำไรพุ่งเกือบ 119 % ผลจากรายได้รวมสูงขึ้น จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท ทำให้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นจากธุรกิจวานิชธนกิจที่เติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งรายได้อื่นก็ขยับสูง สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการปรับเงินเดือน โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายให้กับพนักงานด้านการตลาด
นางสาวเสาวคนธ์ ลิมอักษร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสนับสนุนธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) ( BSEC ) แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 51 (ก่อนสอบทาน)ซึ่งงบรวมพบว่ามีกำไรสุทธิ 55.33 ล้านบาท ขณะที่งบเดี่ยวปีนี้พบว่ามีกำไรสุทธิ 55.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25.44 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 118.28% เนื่องจากรายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 71.73 ล้านบาท หรือ 52.98 % โดยที่รายได้หลักของบริษัท กล่าวคือ ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้น 36.49 ล้านบาทคิดเป็น 34.91 % เมื่อเปรียบเทียบจาก 104.53 ล้านบาท ในปี 50 เป็น 141.02 ล้านบาทในปี 51
ทั้งนี้ เป็นผลจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงขึ้นในไตรมาสแรกของปีปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน สำหรับรายการกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 24.33 ล้านบาท ผลจากบริษัทรับรู้ผลกำไรในบัญชีเงินลงทุนบริษัททั้งจากการขายและการปรับมูลค่าตามราคาตลาด รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นจาก 7.16 ล้านบาทในปี 50 เป็น 14.75 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 7.59 ล้านบาทหรือ 106.01 % ซึ่งรายได้ส่วนนี้เป็นผลจากธุรกิจวานิชธนกิจของบริษัท โดยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 10.20 ล้านบาทหรือ 313.85 % เป็นผลจากการบริหารจัด การการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์จากธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์แก่ลูกค้า และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 0.64 ล้านบาทหรือ 457.07 % ส่วนรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลง 7.52 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดลง
สำหรับค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 38.74 ล้านบาทหรือ 38.18 %โดยเพิ่มขึ้นจาก 101.48 ล้านบาทในปี 50 เปรียบเทียบกับ 140.22 ล้านบาทในปี 51 ค่าใช้จ่ายหลักที่มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น 221.64 % หรือ 3.79 ล้านบาท เป็นผลจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของเงินหลักประกันการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้า ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้นซึ่งแปรผันตามการปรับเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานก็เพิ่มขึ้น จากการปรับเงินเดือน โดยเฉพาะพนักงานด้านการตลาด ซึ่งทำให้มีค่าตอบแทนพนักงานในระบบ Incentive Based สูงขึ้น
ขณะที่ค่าภาษีอากรลดลง เนื่องจากจำนวนรายได้ดอกเบี้ยรับลดลงจากที่กล่าวข้างต้น และในระหว่างไตรมาสแรกของปี 51 บริษัทได้ลงทุนในบริษัทย่อยในสัดส่วนการลงทุน 99.99% ปรากฏผลการดำเนินงานตามงบกำไรขาดทุนรวมมีผลกำไรสุทธิ 55.33 ล้านบาท
นางสาวเสาวคนธ์ ลิมอักษร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสนับสนุนธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) ( BSEC ) แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 51 (ก่อนสอบทาน)ซึ่งงบรวมพบว่ามีกำไรสุทธิ 55.33 ล้านบาท ขณะที่งบเดี่ยวปีนี้พบว่ามีกำไรสุทธิ 55.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25.44 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 118.28% เนื่องจากรายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 71.73 ล้านบาท หรือ 52.98 % โดยที่รายได้หลักของบริษัท กล่าวคือ ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้น 36.49 ล้านบาทคิดเป็น 34.91 % เมื่อเปรียบเทียบจาก 104.53 ล้านบาท ในปี 50 เป็น 141.02 ล้านบาทในปี 51
ทั้งนี้ เป็นผลจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงขึ้นในไตรมาสแรกของปีปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน สำหรับรายการกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 24.33 ล้านบาท ผลจากบริษัทรับรู้ผลกำไรในบัญชีเงินลงทุนบริษัททั้งจากการขายและการปรับมูลค่าตามราคาตลาด รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นจาก 7.16 ล้านบาทในปี 50 เป็น 14.75 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 7.59 ล้านบาทหรือ 106.01 % ซึ่งรายได้ส่วนนี้เป็นผลจากธุรกิจวานิชธนกิจของบริษัท โดยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 10.20 ล้านบาทหรือ 313.85 % เป็นผลจากการบริหารจัด การการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์จากธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์แก่ลูกค้า และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 0.64 ล้านบาทหรือ 457.07 % ส่วนรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลง 7.52 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดลง
สำหรับค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 38.74 ล้านบาทหรือ 38.18 %โดยเพิ่มขึ้นจาก 101.48 ล้านบาทในปี 50 เปรียบเทียบกับ 140.22 ล้านบาทในปี 51 ค่าใช้จ่ายหลักที่มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น 221.64 % หรือ 3.79 ล้านบาท เป็นผลจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของเงินหลักประกันการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้า ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้นซึ่งแปรผันตามการปรับเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานก็เพิ่มขึ้น จากการปรับเงินเดือน โดยเฉพาะพนักงานด้านการตลาด ซึ่งทำให้มีค่าตอบแทนพนักงานในระบบ Incentive Based สูงขึ้น
ขณะที่ค่าภาษีอากรลดลง เนื่องจากจำนวนรายได้ดอกเบี้ยรับลดลงจากที่กล่าวข้างต้น และในระหว่างไตรมาสแรกของปี 51 บริษัทได้ลงทุนในบริษัทย่อยในสัดส่วนการลงทุน 99.99% ปรากฏผลการดำเนินงานตามงบกำไรขาดทุนรวมมีผลกำไรสุทธิ 55.33 ล้านบาท