xs
xsm
sm
md
lg

SCBAM ปรับเป้ากองทุนแอลทีเอฟ ลุ้นปีนี้โต 5 หมื่นล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.ไทยพาณิชย์ปรับเป้าโกยเงินเข้าพอร์ต LTF-RMF ใหม่ ลุ้นทั้งปีโต 5 หมื่นล้านหรือขยายตัว 100% จากเป้าหมายเดิม 3.7 หมื่นล้าน ขานรับมาตรการทางภาษีเพิ่มวงเงินลดหย่อนเป็น 5 แสนบาท ชี้ไม่ใช่คนรวยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ แต่ฐานคนเสียภาษียังสนใจอีกเพียบ ลุ้นครบอายุการลงทุนปี 2559 รัฐบาลจะต่ออายุไปอีก พร้อมเดินหน้าออกเคมเปญร่วมกับแบงก์แม่กระตุ้นยอด เปิดทางลูกค้าซื้อหน่วยลงทุนผ่านบัตรเครดิต

นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลออกมาตราทางภาษีที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษี ในส่วนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จาก 300,000บาทเป็น 500,000 นั้น บริษัทได้ปรับเป้าการขายตัวของกองทุนทั้ง 2 ประเภทใหม่เป็น 50,000 ล้านบาทจากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 37,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวถึง 100% จากจำนวนเงินลงทุนประมาณ 22,000 ล้านบาทในปัจจุบัน

ทั้งนี้ เพราะเชื่อว่ามาตราทางภาษีดังกล่่าว ถือเป็นช่วงโอกาสดีที่รัฐบาลเข้ามาส่งเสริมการลงทุนของกองทุนรวม LTF และ RMF ให้เติบโตขึ้น ซึ่งภาพการลงทุนของกองทุน LTF ในปีนี้ต้นแต่ต้นปีพบว่า การขยายวงเงินลดหย่อนภาษีดังกล่าว ทำให้ตลาดการลงทุนของกองทุนทั้ง 2 ประเภทเติบโตขึ้นมาก ขณะที่ยอดการขายคืนหน่วยลงทุนนั้นมีน้อยแม้จะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เป็นปีแรก ประกอบกับการลงทุนเพิ่มขึ้นจากระดับ 200,000 เป็น 300,000 บาท น่าจะยังมีอีกเยอะทั้งนี้ยังทำให้การลงทุนตลาดหลักทรัพย์เกิดสภาพคล่องที่สูงขึ้นเพราะเม็ดเงินที่เพิ่มมากขึ้นจะส่งผลให้มีการระดมเงินลงทุนได้เพิ่มมากขึ้น

"เดิมที่ในช่วงที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับการขยายกองทุน LTF มากกว่า กองทุน RMF แต่หลังจากนี้ เราจะหันมาให้ความสำคัญกับกองทุนทั้งสองประเทศในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน แต่จะใช้ LTF เป็นตัวนำ เนื่องจากปัจจุบัน ผู้ลงทุนส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในกองทุนประเภทนี้มากกว่่า"นายกำพลกล่าว
ทั้งนี้ มาตราการทางภาษีที่รัฐบาลประกาศออกมานั้น ไม่ได้เอื้อประโยชน์เฉพาะคนที่มีรายได้สูงเท่านั้น ซึ่งมาตราการทางภาษีในส่วนของคนที่มีรายได้ 100,000 - 150,000 บาทแล้วไม่ต้องเสียภาษีนั้น เป็นการทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อยมีเงินออมเพิ่มขึ้นทันที 50,000 บาทต่อคน ส่งผลให้คนกลุ่มนี้มีเงินที่จะสามารถจัดสรรไปเก็บออมเพิ่มมากขึ้นและสามารถใช่จ่ายได้มากขึ้น โดยในส่วนที่เป็นเงินออมนั้นทำให้กลุ่มคนดังกล่าวมีโอกาสที่จะสามารถเลือกลงทุนในกองทุน LTF หรือ RMF ได้

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นนั้นผู้ลงทุนที่ลงทุนในกองทุน LTF หรือ RMF อาจจะใช้สิทธิในการลดหย่อนเสียภาษีได้ไม่เต็มที่ตามที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งอาจจะอยู่ที่ระดับต้นๆประมาณ 10% เท่านั้น แต่ในระยะยาวแล้วสามารถขยายกรอบการเสียภาษีออกไปได้และยังเป็นการขยายฐานการลงทุนในระยะยาวด้วย ดังนั้นแล้วกลุ่มผู้ที่มีรายได้ในระดับ 100,00 - 200,000 บาท จะเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ ในเรื่องการขายกองทุนคืนนั้น ในส่วนของ บลจ.ไทยพาณิชย์เป็น บลจ. เดียวที่สามารถเปิดให้ลูกค้าสามารถขายหน่วยลงทุนคืนได้ทุกช่วง ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกช่วงในการขายหน่วยลงทุนคืนได้มากที่สุด

สำหรับพอร์ตการลงทุนในกองทุน LTF ของบลจ.ไทยพาณิชย์ในปีนี้ การลงทุนในกลุ่มธนาคารนั้นน่าจะมีการปรับตัวดีขึ้นทำให้ บลจ.ไทยพาณิชย์ได้มีการขยับไปลงทุนในกลุ่มธนาคารมากขึ้น รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากราคานํ้ามันที่สูงขึ้นเช่นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธุรกิจประเภทการก่อสร้าง เนื่องจากการดำเนินงานด้านเมกะโปรเจกต์ที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าโครงการก่อสร้าง ขณะที่กลุ่มธุรกิจที่อาจจะได้รับผลกกระทบจากนโยบายควบคุมราคาของรัฐบาล ทางบลจ.อาจลดการลงทุนลง เช่น กลุ่มค้าปลีกบางประเภทที่อาจได้รับผลจากการที่รัฐบาลปรับลดราคาลง

**ลุ้นรัฐบาลต่ออายุ LTF

นายกำพลกล่าวว่า หลังจากนี้กองทุน LTF จะสามารถลงทุนได้อีกประมาณ 9 ปี โดยจะครบกำหนดการลงทุนในปี 2559 ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น หากรัฐบาลเห็นประโยชน์จากการลงทุนในลักษณะนี้ น่าจะมีการขยายระยะเวลาการลงทุนออกไปได้เช่นเดียวกับในต่างประเทศ แต่หากไม่มีการขยายระยะเวลาการลงทุนออกไป จะส่งผลให้ในระยะเวลา 10 ปีนี้จะสร้างพฤติกรรมให้กับผู้ลงทุนรู้ว่าการลงทุนในระยะยาวนั้นให้ผลตอบแทนที่ดีได้ โดยในส่วนของ บลจ.ไทยพาณิชย์ นั้นมองเห็นประโยชน์ของการลงทุนในหุ้น จึงได้พยายามชักจูงให้ผู้ลงทุนที่มีเงินเหลือจากการลงทุนใน LTF หรือ RMF มาลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนธรรมดาด้วย

สำหรับในปีนี้ บริษัทมีแผนการกระตุ้นการลงทุนในกองทุน LTF โดยบลจ.ไทยพาณชย์ได้ร่วมมือกับทางธนาคารไทยพาณชย์ ทำการรณรงค์ให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อกองทุนรวม LTF ผ่านบัตรเครดิตของธนาคารไทยพาณิชย์ได้ ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกช่วงเวลาที่จะซื้อหน่วยลงทุนได้ และสามารถเป็นตัวเอื้ออำนวยให้กับผู้ลงทุนได้มีจังหวะการลงทุนที่ดีขึ้นโดยที่ผู้ลงทุนไม่ต้องรอเงินดือนในปลายเดือน หรือเงินโบนัส และทาง บลจ.อำนวยความสะดวกแก่ผู้ซื้อกองทุนด้วยการหักบัญชีบัตรเครดิตเป็นรายเดือน ซึ่งผู้ลงทุนจะได้แต้มจากการใช้จ่ายบัตรเครดิสดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ จากการรายงานของสมาคมบริษัทจัดการกองทุน พบว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม LTFทั้งระบบในไตรามาสแรกมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 49.281 หมื่นล้านบาทลดลงประมาณ 127.01 ล้านบาทคิดเป็น -0.26% จากจำนวนเงินลงทุนเมื่อสิ้นปี 2550 49.408 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่กองทุนดังกล่าวมีทรัพย์สินลดลงเนื่องจาก ปีนี้เป็นปีแรกที่กองทุน LTF สามารถขายหน่วยลงทุนคืนได้เป็นปีแรกจากที่ลงทุนมาแล้ว 5 ปี

**มั่นใจกองทุนรวมQ2ขยายตัว***

นายกำพล กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหรรมกองทุนรวมในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ว่า สาเหตุที่เม็ดเงินลงทุนผ่านกองทุนรวมทั้งระบบปรับตัวลดลงนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการระดมทุนของธนาคารพาณิชย์ต่างๆที่ออกแคมเปญเงินฝากแบบพิเศษทีให้ดอกเบี้ยในตราที่สูงขึ้นกว่าปกติออกมาทำตลาดเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้สิ่งที่น่าจับตา หรือติดตามต่อ คือ ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตเป็นเช่นไร ขณะเดียวกันภาครัฐก็ออกพันธบัตรรัฐบาลออกมาเพื่อระดมทุนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนบางส่วนที่ไม่มั่นใจกับภาวะการลงทุนจนถึงขั้นเก็บเงินลงทุนฝากออมทรัพย์ไว้ทั้งหมด

ทั้งนี้ มองว่าหลังไตรมาส 2 นี้ ดอกเบี้ยมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบสามารถประเมินได้ว่า จะสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากน้อยเพียงใด ส่วนในแง่ของอุตสาหกรรมกองทุนรวมนั้นเชื่อว่าจะสามารถเติบโตได้อีก เพราะยังมีเรื่องของ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมกองทุนรวม ที่จะช่วยผลักดันให้ทั้งอุตสาหกรรมเติบอย่างก้าวกระโดดในอนาคต โดยในส่วนของบลจ.ไทยพาณิชย์นั้น จะไม่อยู่ที่การเป็นผู้นำในกองทุนประเภทตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว แต่จะขยับขยายช่องทางในการทำธุรกิจไปสู่กองทุนประเภทอื่นๆเพิ่มขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น