เอดีบีประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 5% จากมาตรการภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากในประเทศเป็นหลักจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้ออาจกดดันเศรษฐกิจให้โตต่ำกว่า 4.8%ซึ่งต่ำกว่าปีก่อน ด้านปัญหาเงินเฟ้อของไทยไม่มากนัก มั่นใจทางการไทยบริหารจัดการได้ ส่วนความคืบหน้าในการศึกษาใช้ระบบตั๋วร่วม คาดปลายปีได้เห็นแน่
นายฌอง ปิแอร์ เอ.เวอร์บีสท์ ผู้อำนวยการ สำนักงานผู้แทนประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย(เอดีบี) เปิดเผยว่า แม้ปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.8% ถือว่าต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชีย แต่ในปีนี้เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า 5% โดยได้รับการฟื้นตัวจากอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคการลงทุนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาเป็นระยะ ขณะที่การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดน้อย ซึ่งจะส่งผลดีให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไม่มากนัก อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยจะต้องพยายามสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมการแข่งขันของอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมมากขึ้นด้วย
“หากเกิดกรณีเลวร้ายเกิดขึ้นกับการเมืองไม่ว่าจะเป็นการยุบพรรคหรือรัฐบาลชุดนี้อยู่ได้ไม่ครบเทอม ซึ่งมีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลไม่เต็มที่และส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศ ซึ่งเดิมทีคาดว่าตัวนี้จะมาช่วยชดเชยการส่งออกที่ชะลอลงในปีนี้ที่คาดว่าจะโตได้แค่ 11-12% จากปีก่อนที่เติบโตถึง 18% ทำให้การขยายตัวเศรษฐกิจไทยอาจจะต่ำกว่า 4.8% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจที่น้อยกว่าปีก่อน”
ทั้งนี้ ในปีนี้เงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทยเองก็ต้องต่อสู้กับราคาพลังงานและอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามปัญหาเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเกิดจากด้านอุปทานเป็นหลัก ทำให้การใช้นโยบายการเงินแบบดั้งเดิมเข้ามาช่วยดูแลเป็นเรื่องยาก เพราะหากปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นการแก้ปัญหาด้านอุปสงค์ ซึ่งไม่ช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นกับอุปทานแต่อย่างใด ดังนั้น ภาครัฐควรออกมาตรการเฉพาะเรื่องมาดูแลจะดีกว่าหรือปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา อย่างไรก็ตาม ปัญหาเงินเฟ้อของไทยไม่น่าห่วง โดยทางเอดีบีคาดว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 4% และ3.5%ในปีหน้า ถือว่าไม่มากนัก และเชื่อว่าทางการจะสามารถบริหารจัดการได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่อยู่ในระดับประมาณเกือบ 10%
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงของไทยปีนี้ที่ต้องระมัดระวังน่าจะเกิดจากปัจจัยภายในประเทศมากกว่าปัจจัยภายนอกประเทศ เพราะหากรัฐบาลไม่สามารถลงทุนได้จริงตามนโยบายหรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่ประกาศไว้จะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนต่างๆ ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจล่าช้ากว่าเดิม แต่หากสามารถดำเนินการได้จะส่งผลดีต่ออัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีหน้าให้ขยายตัวไม่น้อยกว่า 5.2%
“หากดูศักยภาพของไทยปีนี้ไม่ด้อยกว่าประเทศมาเลเซีย ซึ่งคาดว่าเขาจะมีการขยายตัวเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 6% ดังนั้นอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้เชื่อว่าไม่น้อยกว่า 5% แต่ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ชัดเจน”
นอกจากนี้ทางเอดีบียังพบว่า แม้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาไทยจะมีอัตราการว่างงานน้อยลง แต่ในระยะยาวไทยอาจจะประสบปัญหาอัตราการว่างงานของเยาวชนมากขึ้น เนื่องจากโครงสร้างประชากรไทยที่มีวัยชรามากกว่าเยาวชน ถือว่าวัยทำงานน้อยและมีผลให้การสร้างบุคคลากรที่มีคุณภาพและมีการศึกษาที่ดี เพื่อสร้างแรงงานที่ดีเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจน้อยลงเช่นกัน อีกทั้งไทยยังมีอัตราส่วนวัยชราที่เกษียณอายุแล้วต่อวัยคนทำงานที่ระดับ 25.5%ในปีที่ผ่านมา และเพิ่มสัดส่วนเป็น 69% ในปี 2593 ทำให้ต่อไปไทยจะมีปัญหาระบบบำเหน็จบำนาญ ซึ่งปัญหาเหล่านี้รัฐบาลไทยควรดำเนินการแก้ไข
สำหรับความผันผวนของตลาดการเงินโลกเชื่อว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียไม่มากนัก เพราะสถาบันการเงินส่วนใหญ่มีการลงทุนไม่มากนัก แต่ในทางอ้อมอาจจะได้รับผลกระทบบ้างผ่านตลาดหุ้นและส่งผลให้สถาบันการเงินมีความระมัดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ส่วนภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้นเชื่อว่าไม่ได้มีเฉพาะเงินทุนจากสหรัฐเท่านั้นที่ไหลเข้ามายังไทย แต่เท่าที่ทราบประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียอย่างจีนเองก็มีเงินทุนไหลเข้ามาเช่นกัน จึงคาดว่าในระยะต่อไปก็ยังคงมีเงินทุนไหลเข้ามายังภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งไทยด้วย แต่ก็มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักลงทุน และเงินทุนไหลเข้ามานั้นไม่ได้พิจารณาเฉพาะประเด็นส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับสหรัฐเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่นักลงทุนพิจารณาด้วย
นายณอง ปิแอร์ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยได้เจรจาให้ทางเอดีบีเข้าไปช่วยศึกษาเรื่องระบบตั๋วร่วม ซึ่งในช่วงแรกคาดว่าจะใช้ตั๋วร่วมระหว่างรถไฟฟ้าบีทีเอสกับรถไฟฟ้าใต้ดินและต่อไปจะมีการจะเพิ่มใช้ระบบตั๋วร่วมของรถเมล์และเรือด้วย ทั้งนี้ในการศึกษาเรื่องดังกล่าวทางเอดีบีจะให้ความสำคํญในเรื่องของซอฟท์แวร์ที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับการขนส่งหลายหลายรูปแบบมากกว่าจะเน้นเรื่องอุปกรณ์หรือเทคโนโลยี โดยจะเริ่มศึกษาในต้นเดือนพ.ค.นี้และคาดว่าสิ้นปีนี้หรือต้นปี 52 น่าจะแล้วเสร็จ
ส่วนแผนการออกพันธบัตรสกุลเงินบาท(บาทบอนด์)ของเอดีบีนั้น ซึ่งปกติเอดีบีจะได้ยอดวงเงินรวมในการออกพันธบัตรจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะในแต่ละปี 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแต่ละปีจะออกมากน้อยแค่ไหนหรือออกช่วงใดขึ้นอยู่กับภาวะตลาดเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่จะออกพันธบัตรระยะสั้นอายุประมาณ 3 ปี อย่างไรก็ตามการออกพันธบัตรนั้นต้องการช่วยพัฒนาตลาดทุนมากกว่าที่จะระดมทุน