เจพีมอร์แกนฯ คาดการณ์ ค่าเงินบาทของไทย ค่าเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซีย และค่าเงินเปโซของฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มดีดตัวขึ้น เนื่องจากธนาคารกลาง หันมาใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือคุมเงินเฟ้อแทนดอกเบี้ย ชี้ราคาข้าวที่สูงขึ้น ก็ถือเป็นตัวเร่งที่สำคัญ พร้อมไปกับภาวะเงินเฟ้อจากต้นทุนน้ำมัน
วันนี้(1 เม.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค วาณิชย์ธนกิจชื่อดังของโลก และธนาคารยูบีเอส กล่าวยอมรับว่าในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง 1.9% ขณะที่ค่าเงินเปโซร่วงลง 3% และค่าเงินรูเปียห์อ่อนตัวลง 1.5% เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเทขายพันธบัตรและหุ้นในตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ตาม คาดว่า ธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (ธปท.) ธนาคารกลางอินโดนีเซีย และธนาคารกลางฟิลิปปินส์ อาจจะหาลู่ทางผลักดันให้สกุลเงินของประเทศแข็งแกร่งขึ้น เพื่อควบคุมตัวเลขการใช้จ่ายด้านการนำเข้า แทนที่จะใช้วิธีการเพิ่มต้นทุนการกู้ยืม เพราะดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐซบเซา
นายคลอดิโอ ไพรอน นักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกน คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อของไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียมีแนวโน้มสูงขึ้นในเดือน มี.ค.51 โดยเราคาดว่าราคาข้าวที่พุ่งสูงขึ้น จะทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกำหนดนโยบายผลักดันให้สกุลเงินในประเทศของตนแข็งขึ้นเพราะไม่ต้องการให้ต้นทุนนำเข้าข้าวสูงขึ้น โดยราคาข้าวในตลาด CBOT ที่นิวยอร์กขณะนี้อยู่ที่ระดับ 20.175 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 100 ปอนด์ สูงกว่าปีที่แล้วถึง 2 เท่า
"ราคาข้าวที่พุ่งขึ้นจะสร้างความกังวลแก่เจ้าหน้าที่ผู้กำหนดนโยบายในเอเชีย และจะทำให้พวกเขาอ่อนไหวต่อทุกปัจจัยที่จะทำให้สกุลเงินในประเทศของตนเอง อ่อนค่าลง เราคาดว่าค่าเงินบาทของไทยจะแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยรับมือกับเรื่องนี้ได้มากนัก" นายไพรอน กล่าวสรุปทิ้งท้าย