xs
xsm
sm
md
lg

ธปท.เล็งจัดเครดิตแบงก์ เน้นบริหารเงินกองทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แบงก์ชาติเตรียมจัดอันดับเครดิตธนาคารพาณิชย์ไทย เน้นพิจารณาผลประกอบการ คุณภาพของการบริหารสินทรัพย์ เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง และการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร ส่วนแผนมาสเตอร์แพลน 2 ที่เน้นการเปิดเสรีในการแข่งขันมากขึ้นล่าสุดมีข้อเรียกร้องจากสาขาต่างชาติให้คิดเงินกองทุนตามบริษัทแม่ในต่างประเทศ ขณะเดียวกันพบสาขาธนาคารต่างชาติ 1 แห่งลงทุนในซับไพรม์ แต่จิ๊บจ๊อย

นายพงศ์อดุล กฤษณะราช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์และติดตามฐานะ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในขณะนี้ ธปท.กำลังอยู่ระหว่างเข้าไปตรวจสอบและติดตามฐานะการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ไทย รวมทั้งสาขาธนาคารต่างชาติ และจะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ รวมถึงจัดอันดับตามระดับต่างๆ ซึ่งในปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่ธนาคารพาณิชย์ไทยอยู่ในระดับพอใช้ เนื่องจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ในระบบลดลงไม่มากนัก ประกอบกับปัญหาการเมือง และการนำมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39(IAS39) มาใช้ ทำให้ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ดีนัก แต่เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะช่วยสร้างให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข่งแกร่งขึ้น

ทั้งนี้ ในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ไทยหลายแห่งเริ่มมีระดับที่ดีขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ไทย โดยในปีนี้ธปท.จะพิจารณาการจัดอันดับของสถาบันการเงิน โดยจะให้ความสำคัญในเรื่องผลประกอบการ คุณภาพของการบริหารสินทรัพย์ เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(บีไอเอสเรโช) และการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งต่างกับสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศอย่างบริษัทสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์(เอสแอนด์พี)และมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสที่จะเน้นเรื่องเอ็นพีแอลและผลประกอบเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ ธปท.ยังได้มีแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(มาสเตอร์แพลน) ฉบับที่ 2 ออกมารองรับการเปิดเสรีมากขึ้น โดยในประเด็นหนึ่งของแผนดังกล่าวที่กำลังอยู่ระหว่างพิจารณา คือ สาขาธนาคารต่างชาติเรียกร้องให้ธปท.คิดเงินกองทุนจากเงินกองทุนของบริษัทแม่ที่เปิดสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ จากเดิมที่คิดจากเงินที่บริษัทแม่นำส่งมาให้สาขาต่างประเทศที่เปิดในไทย โดยคาดว่าจะสรุปผลเรื่องนี้ได้ในช่วงต้นปี 2552 ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียบกันในการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์ไทยกับสาขาธนาคารต่างชาติ

โดยทั่วไปแล้วธปท.กำหนดให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ให้ลูกหนี้ได้ไม่เกิน 25%ของเงินกองทุน ซึ่งหากคำนวณเงินกองทุนของบริษัทแม่ในต่างประเทศของสาขาธนาคารต่างชาติที่เปิดในไทยจะมีจำนวนมาก ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันได้ทั้งขนาดที่เล็กกว่าและเงินกองทุนน้อย แต่หากไม่เปิดการแข่งขันนักลงทุนต่างชาติก็ไม่เข้ามาทำธุรกิจในไทย จึงจำเป็นต้องพิจารณาเงินกองทุนโดยยึดธนาคารพาณิชย์ไทยเป็นหลัก เพราะมีส่วนแบ่งในการตลาดมากถึง 80% เทียบกับสาขาธนาคารต่างชาติ 20% แม้จะมีจำนวนสถาบันการเงินเท่ากัน คือ 17 แห่งก็ตาม

“เรามองว่าบริษัทแม่ในต่างชาติต้องการให้สาขาธนาคารต่างชาติปล่อยกู้มากก็ควรเอาทุนเข้ามาใส่มาก ซึ่งไม่ใช่คิดจากเงินกองทุนของบริษัทแม่ในต่างประเทศ เพราะไม่เช่นนั้นเขาจะหาประโยชน์จากการแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ไทย อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากเงินทุนที่ส่งมากให้สาขาธนาคารต่างชาติในไทยก็ควรมีหลักเกณฑ์อะไรเป็นตัวล็อกด้วย เช่น อย่างน้อยอนุญาตให้สาขาธนาคารต่างชาติเปิดสาขาได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ธปท.กำลังอยู่ระหว่างพิจารณา เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการแข่งขันในไทยด้วย”

นายพงศ์อดุล กล่าวว่า สำหรับปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ(ซับไพรม์)ของสหรัฐเท่าที่ธปท.ตรวจสอบ นอกเหนือจากสถาบันการเงินไทย 4 แห่งก็ยังมีสาขาธนาคารต่างชาติ 1 แห่ง แต่มีจำนวนที่น้อยมาก ประกอบกับมีแหล่งเงินทุนจากบริษัทแม่ในต่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือ จึงซึ่งเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและฐานะ อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดปัญหานี้ ธปท.มีการแนะนำให้สถาบันการเงินมีการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนให้มากขึ้น เพื่อลดความเสียหาย ขณะเดียวกันธปท.เองก็มีหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้สถาบันการเงินลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20%ของเงินกองทุนสถาบันการเงินนั้นๆ และไม่เกิน 10%ของเงินกองทุนบริษัทที่สถาบันการเงินนั้นไปลงทุนด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น