xs
xsm
sm
md
lg

รู้ทัน การเงิน:วิกฤติสหรัฐฯ ไม่จำกัดแค่ปัญหา Subprime เท่านั้น (2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เริ่มจากปัญหาในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยประเภท Subprime และลุกลามกลายเป็นวิกฤติขนาดใหญ่ในตลาดการเงินจนยากที่จะแก้ไขโดยง่าย ฉบับก่อนผมได้พูดถึงปัญหาที่เกิดในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งตลาดสินเชื่อและตราสารหนี้เพื่อเข้าครอบครองกิจการ (Leveraged Buyouts) ทว่านอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังมีปัญหาในภาคการเงินอื่นๆที่สหรัฐฯกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันและที่กำลังรอการปะทุขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ธุรกิจทางการเงินที่กำลังมีปัญหาอยู่ในปัจจุบันคือ การประกันตราสารหนี้ที่เรียกว่า โมโนไลน์ (Monolines) ผลิตภัณฑ์ของธุรกิจนี้คือตราสารอนุพันธ์ที่เป็นเสมือนสัญญาค้ำประกันเงินกู้หรือตราสารหนี้ (Credit Default Swaps : CDSs) ผู้ใช้บริการของธุรกิจโมโนไลน์ คือบรรดาบริษัทที่ต้องการจะออกตราสารหนี้ แต่ทว่าบริษัทตนเองมีระดับความน่าเชื่อถือต่ำ จึงอาศัยธุรกิจโมโนไลน์ที่มีระดับความน่าเชื่อถือทางการเงินที่สูงกว่าทำการค้ำประกันให้ โดยบริษัทจ่ายค่าค้ำประกันเป็นการตอบแทน การค้ำประกันโดยโมโนไลน์จะทำให้อัตราดอกเบี้ยของบริษัทลดลงมาก ซึ่งเมื่อคิดรวมกับค่าค้ำประกันในรูปของการซื้อสัญญา CDSs แล้วต้นทุนในการออกตราสารหนี้แบบมีการค้ำประกันก็ยังถูกกว่าการที่บริษัทจะดำเนินการเอง ขณะที่ธุรกิจโมโนไลน์ก็ได้ค่าประกันหรือค่าซื้อสัญญา CDSs เป็นการตอบแทน บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในธุรกิจโมโนไลน์ได้แก่ บริษัท MBIA (มีระดับความน่าเชื่อถือคือ AAA) รองลงมาได้แก่บริษัท Ambac

แรกเริ่ม ธุรกิจโมโนไลน์ค้ำประกันตราสารหนี้เทศบาล (Municipal Bonds) ที่แม้ว่าระดับความน่าเชื่อถือจะไม่สูง แต่อัตราการผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างต่ำ แต่ระยะหลังก็หันไปค้ำประกันตราสารหนี้ประเภทอื่นๆ รวมถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะประเภท Subprime ซึ่งเมื่อเกิดวิกฤติในปี 2550 ทำให้มีการผิดนัดชำระหนี้จำนวนมาก ตราสารหนี้ที่อิงกับการค้ำประกันของธุรกิจโมโนไลน์ก็เสื่อมค่าลง และต้องจ่ายชดใช้แก่ผู้ถือตราสารหนี้จำนวนมาก ทั้ง MBIA และ Ambac ต้องตัดลดมูลค่าทางบัญชีของทรัพย์สินที่ถืออยู่ไปแล้ว 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเฉพาะในไตรมาส 4 ปีที่แล้วเพียงไตรมาสเดียว ขณะที่ธุรกิจโมโนไลน์บางบริษัท เช่น เอฟเอสเอ (FSA) และ แอสชัวร์การันตี (Assured Guaranty) ก็กำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสารหนี้ ปัจจุบันธุรกิจโมโนไลน์ออกตราสาร CDSs ค้ำประกันตราสารหนี้วงเงินรวมสูงถึง 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ปัญหาของธุรกิจประเภทนี้และผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ก็คือ เมื่อธุรกิจโมโนไลน์แห่งหนึ่งถูกปรับลดระดับความน่าเชื่อถือ ตราสารหนี้ที่ได้รับการค้ำประกันก็ถูกลดระดับความน่าเชื่อถือไปด้วย สถาบันการเงินและกองทุนต่างๆ หลายแห่งที่ลงทุนในตราสารหนี้เหล่านี้ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือในระดับค่อนข้างสูง ถ้าตราสารหนี้เหล่านี้ถูกลดระดับความน่าเชื่อถือ สถาบันการเงินและกองทุนดังกล่าวอาจจะต้องขายตราสารหนี้เหล่านี้ออกมาจำนวนมาก ซึ่งจะสร้างความปั่นป่วนอย่างรุนแรงต่อตลาดตราสารหนี้โดยรวม

ล่าสุด บริษัท ฟิช เรตติ้ง (Fitch Rating) ที่เป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือลำดับที่สามได้ปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของบริษัท Ambac ลงจาก AAA เป็น AA ซึ่งเป็นการปรับลงถึง 2 อันดับ ผลของการปรับลดอันดับของบริษัทผู้ค้ำประกัน ทำให้ต้องปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ภายใต้การค้ำประกันของบริษัทไปด้วยถึง 137,500 ชุด สำนัก Bloomberg ประเมินว่า จะทำให้นักลงทุนและผู้ออกตราสารหนี้สูญเสียถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออีก 2 แห่งคือมูดี้ส์ (Moody’s Investor Services) และ S&P (Standard and Poor’s) ก็กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบบริษัท MBIA และ Ambac ว่าจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของทั้ง 2 บริษัทลงหรือไม่และจะประกาศผลการพิจารณาในกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งถ้าปรับลดจริงก็จะสร้างความวุ่นวายทางการเงินอย่างมาก นายบิล กรอส (Bill Gross) ผู้ได้รับรางวัลผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้แห่งปีในปีที่ผ่านมา ประเมินว่าความสูญเสียของธุรกิจโมโนไลน์ทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงวิกฤติที่ขยายตัวออกไปจากปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยอย่างมาก ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐฯและสถาบันการเงินชั้นนำกำลังหาทางออกด้วยการเพิ่มทุนให้กับบริษัททั้ง 2 เพื่อรักษาระดับความน่าเชื่อถือ โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินอย่างน้อยถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในการเพิ่มทุนนี้

นอกจากปัญหาของธุรกิจโมโนไลน์ และ CDSs แล้ว ผมยังคาดว่าจะมีปัญหาในตลาดสินเชื่อประเภทอื่นตามมาอีกมาก แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่ปรากฏอาการออกมาก็ตาม เช่น สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อบัตรเครดิต โดยเฉพาะสินเชื่อประเภทหลังที่ปัญหาเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว บริษัท อเมริกัน เอ็กซ์เพรส (American Express) ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการบัตรเครดิตของสหรัฐฯได้แจ้งผลการดำเนินงานว่า มีรายได้ลดลงร้อยละ 32 ในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา เมื่อประชาชนไม่สามารถที่จะชำระหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ก็ย่อมไม่สามารถที่จะชำระหนี้อื่นๆ เช่นเดียวกัน ผมคาดว่าภายในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ เราจะเริ่มเห็นปัญหาเหล่านี้ชัดเจนขึ้น

ปัญหาทางการเงินทั้งหมดเริ่มกระจายตัวจากตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยไปสู่ตลาดสินเชื่อและตราสารหนี้ประเภทอื่นๆ และจะยังไม่จบง่ายๆ แม้กระทั่งนายจอร์จ โซรอส (George Soros) พ่อมดการเงินแห่งสหรัฐฯ ยังกล่าวว่า วิกฤติของสหรัฐฯในครั้งนี้เป็นวิกฤติการเงินที่ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งผมคาดว่าวิกฤติจะยืดเยื้อออกไปจนถึงปี 2552 ดังนั้น เราจึงอย่าตั้งความหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกลับมาสู่ภาวะปกติในเร็วๆ นี้ และผมยังหวังว่าพวกเราควรมองโลกตามความจริงและเตรียมตัวที่จะพร้อมรับสถาณการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
กำลังโหลดความคิดเห็น