ธปท.จัดระบบแผนมาสเตอร์แพลน 2 รองรับการควบรวมกิจการที่ดี มั่นใจแม้แบงก์ขนาดเล็กไม่ควบรวม แต่ธุรกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ดี รับความเสี่ยงด้านตลาด และการปฏิบัติการเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้กระทบต่อระบบแบงก์ เผยเดือนมิถุนายนนี้สามารถระบุได้ว่าแบงก์ไหนต้องแก้ไขฐานะหรือเพิ่มทุนอะไรบ้าง ส่วนหนี้เอ็นพีแอลที่ลดลงช้าเกิดจากปัญหากระบวนการบังคับคดี และการยึดทรัพย์ยาก แต่ขณะนี้สายกำกับสถาบันการเงินกำลังศึกษาวิธีการผ่อนปรนอยู่
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 หรือมาสเตอร์แพลน 2 ซึ่งจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่วนหนึ่งก็มีการสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อควบรวมกิจการที่ดี ถือเป็นการจัดระบบที่ดี และคาดว่า จะนำมาใช้ในช่วงกลางปี 2551 นี้ โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาในแต่ละประเด็นทั้งปัญหา อุปสรรค กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รูปแบบการทำธุรกิจ และการศึกษากรณีตัวอย่างจากต่างประเทศนำมาประกอบการพิจารณาด้วย
“แม้ขณะนี้บริษัทเงินทุนและบริษัท เครดิตฟองซิเอร์ ยังไม่มีความคืบหน้าที่จะยกระดับ รวมทั้งแบงก์ขนาดเล็กก็ไม่ได้ขอยกระดับ ซึ่งสถาบันการเงินเหล่านี้ รวมทั้งธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยก็ยังธุรกิจเฉพาะที่เขาสามารถเดินหน้าได้ดีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารทิสโก้ หรือ ธนชาต ที่มุ่งเน้นธุรกิจเช่าซื้อ เป็นต้น จึงยังมีตลาดเฉพาะและความชำนาญเฉพาะของเขาอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การควบรวมกิจการก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย และเราก็ไม่สามารถไปกดดันให้เขาควบรวมกันได้ ขึ้นอยู่กับความสมัครใจและความพร้อมของเขาเอง แต่เราเองก็ต้องสร้างบรรยากาศที่ดีให้แก่เขาด้วย”
ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีของแต่ละปี ธปท.จะเข้าไปตรวจสอบธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง และธนาคารพาณิชย์ก็ต้องส่งแผนการทำธุรกิจ ทั้งแผนระยะสั้นแบบรายปีและแผนระยะยาวประมาณ 3-5 ปี เพื่อดูทิศทางการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งอุปสรรคหรือปัญหาต่างๆ ดังนั้น ในอนาคตจะธนาคารพาณิชย์แห่งใดจะเพิ่มทุนอีกหรือไม่ ก็ต้องดูผลการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ น่าจะตอบได้ว่าธนาคารพาณิชย์แห่งไหนควรเพิ่มทุนหรือแก้ไขอะไรบ้าง
นอกจากนี้ ในระยะต่อไปเชื่อว่าระบบธนาคารพาณิชย์จะมีการทำกำไรได้ดีขึ้นเกิดผลดีจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี ความชัดเจนทางการเมือง แต่ก็ต้องติดตามในส่วนของเศรษฐกิจของสหรัฐว่าจะมีผลกระทบต่อลูกค้าคนไทยแค่ไหนต่อไปด้วย อย่างไรก็ตาม ธปท.และทางสมาคมธนาคารไทยได้มีการหารือกันมาตลอด ก็เชื่อว่า น่าจะไม่มีปัญหาที่จะส่งผลต่อการทำธุรกิจในอนาคต
“แม้ขณะนี้ความเสี่ยงด้านการตลาดและความเสี่ยงทางการปฏิบัติการของระบบธนาคารพาณิชย์จะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้กระทบมากจนสร้างปัญหาอันตรายต่อระบบธนาคารพาณิชย์ เพราะที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ได้มีการกันสำรองตามมาตรฐานการบัญชีใหม่ หรือ IAS39 หมดแล้ว และมีการบันทึกบัญชีการด้อยค่าของสินทรัพย์ต่างๆ ในการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ (ซีดีโอ) รวมอยู่แล้ว ขณะเดียวกันความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นบ้างก็เป็นไปตามการเติบโตของสินเชื่อ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ”
ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า สำหรับเป้าการลดหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ให้เหลือ 2% นั้น ขณะนี้ปัญหาหลักที่ทำให้หนี้เอ็นพีแอลลดลงไม่มาก เนื่องจากติดปัญหาเรื่องกระบวนการทางกฎหมายในการบังคับคดีและการยึดทรัพย์ต่างๆ ทำให้ขณะนี้สายกำกับสถาบันการเงินกำลังพิจารณาดูว่าจะมีอุปสรรคอะไรบ้างและทำอย่างไรให้หนี้ในระบบลดลง
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินระยะที่ 2 หรือมาสเตอร์แพลน 2 ซึ่งจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่วนหนึ่งก็มีการสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อควบรวมกิจการที่ดี ถือเป็นการจัดระบบที่ดี และคาดว่า จะนำมาใช้ในช่วงกลางปี 2551 นี้ โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาในแต่ละประเด็นทั้งปัญหา อุปสรรค กฎหมายที่เกี่ยวข้อง รูปแบบการทำธุรกิจ และการศึกษากรณีตัวอย่างจากต่างประเทศนำมาประกอบการพิจารณาด้วย
“แม้ขณะนี้บริษัทเงินทุนและบริษัท เครดิตฟองซิเอร์ ยังไม่มีความคืบหน้าที่จะยกระดับ รวมทั้งแบงก์ขนาดเล็กก็ไม่ได้ขอยกระดับ ซึ่งสถาบันการเงินเหล่านี้ รวมทั้งธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อยก็ยังธุรกิจเฉพาะที่เขาสามารถเดินหน้าได้ดีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารทิสโก้ หรือ ธนชาต ที่มุ่งเน้นธุรกิจเช่าซื้อ เป็นต้น จึงยังมีตลาดเฉพาะและความชำนาญเฉพาะของเขาอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การควบรวมกิจการก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย และเราก็ไม่สามารถไปกดดันให้เขาควบรวมกันได้ ขึ้นอยู่กับความสมัครใจและความพร้อมของเขาเอง แต่เราเองก็ต้องสร้างบรรยากาศที่ดีให้แก่เขาด้วย”
ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีของแต่ละปี ธปท.จะเข้าไปตรวจสอบธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง และธนาคารพาณิชย์ก็ต้องส่งแผนการทำธุรกิจ ทั้งแผนระยะสั้นแบบรายปีและแผนระยะยาวประมาณ 3-5 ปี เพื่อดูทิศทางการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งอุปสรรคหรือปัญหาต่างๆ ดังนั้น ในอนาคตจะธนาคารพาณิชย์แห่งใดจะเพิ่มทุนอีกหรือไม่ ก็ต้องดูผลการดำเนินธุรกิจ ซึ่งในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ น่าจะตอบได้ว่าธนาคารพาณิชย์แห่งไหนควรเพิ่มทุนหรือแก้ไขอะไรบ้าง
นอกจากนี้ ในระยะต่อไปเชื่อว่าระบบธนาคารพาณิชย์จะมีการทำกำไรได้ดีขึ้นเกิดผลดีจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี ความชัดเจนทางการเมือง แต่ก็ต้องติดตามในส่วนของเศรษฐกิจของสหรัฐว่าจะมีผลกระทบต่อลูกค้าคนไทยแค่ไหนต่อไปด้วย อย่างไรก็ตาม ธปท.และทางสมาคมธนาคารไทยได้มีการหารือกันมาตลอด ก็เชื่อว่า น่าจะไม่มีปัญหาที่จะส่งผลต่อการทำธุรกิจในอนาคต
“แม้ขณะนี้ความเสี่ยงด้านการตลาดและความเสี่ยงทางการปฏิบัติการของระบบธนาคารพาณิชย์จะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้กระทบมากจนสร้างปัญหาอันตรายต่อระบบธนาคารพาณิชย์ เพราะที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ได้มีการกันสำรองตามมาตรฐานการบัญชีใหม่ หรือ IAS39 หมดแล้ว และมีการบันทึกบัญชีการด้อยค่าของสินทรัพย์ต่างๆ ในการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ (ซีดีโอ) รวมอยู่แล้ว ขณะเดียวกันความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นบ้างก็เป็นไปตามการเติบโตของสินเชื่อ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ”
ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า สำหรับเป้าการลดหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ให้เหลือ 2% นั้น ขณะนี้ปัญหาหลักที่ทำให้หนี้เอ็นพีแอลลดลงไม่มาก เนื่องจากติดปัญหาเรื่องกระบวนการทางกฎหมายในการบังคับคดีและการยึดทรัพย์ต่างๆ ทำให้ขณะนี้สายกำกับสถาบันการเงินกำลังพิจารณาดูว่าจะมีอุปสรรคอะไรบ้างและทำอย่างไรให้หนี้ในระบบลดลง