ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น หุ้นไอพีโอน้องใหม่ตัวแรกของปี 51 ประเดิมเทรดวันแรกพุ่ง 9.73% สวนทางดัชนีตลาดรวมวูบ 15 จุด หลังนักลงทุนยังวิตกต่อการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงรอดูทีมงานด้านเศรษฐกิจรัฐบาลนอมินี "แม้ว" โดยมาร์เกตแคป "PTTAR" รั้งอันดับ 11 อยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท ด้านผู้บริหารประกาศทุ่ม 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงทุนเพิ่มใน 5 ปี มั่นใจหลังปี 53 กำไรจากการควบรวมกิจการระหว่าง "RRC-ATC" เพิ่มขึ้นปีละ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (2 ม.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงหลังนักลงทุนยังค่อนข้างกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ประกอบกับมีแรงขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่จุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 842.97 จุด ลดลง 15.13 จุด หรือ 1.76% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 860.69 จุด มูลค่าการซื้อขาย 12,900.04 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 723.35 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 413.61 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,136.95 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้นักลงทุนรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตต่อไปได้ และทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็ง
ทั้งนี้ หลังจากที่มีการจัดตั้งทีมเศรษฐกิจแล้วตลาดหลักทรัพย์ฯจะเข้าไปเสนอแผนพัฒนาตลาดทุนกับรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เพื่อที่จะมีการประสานการทำงานระหว่างตลาดเงิน ตลาดทุน ซึ่งจะต้องมีคณะกรรมการเข้ามาดูภาพรวมของตลาดเงิน ตลาดทุน ตราสารหนี้ ซึ่งทั้ง 3 ตลาดนั้นมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยหากตลาดทุนมีความแข็งแรงก็จะทำให้การระดมทุนทำได้สะดวกขึ้น
ส่วนกรณีข่าวการทาบทามนายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง และนายทนง พิทยะ อดีต รมว.กระทรวงการคลัง มาเป็นรมว.กระทรวงการคลังคนใหม่ นางภัทรียา กล่าวว่า ทั้ง 2 คน ถือเป็นบุคคลที่มีความรู้เรื่องตลาดทุน ซึ่งนักลงทุนอยากเห็นบุคคลที่มีความเข้าใจด้านตลาดทุนมาเป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรรวมทั้งนักลงทุนสถาบันทยอยไถ่ถอนกองทุน LTF ในช่วงปลายปี จึงส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงแต่ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มูลค่าการซื้อขายไม่ลดลงมาก
สำหรับบรรยากาศการลงทุนในวันนี้ คาดว่ามีโอกาสที่ดัชนีจะปรับลดลงต่อ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามากระตุ้นบรรยากาศการลงทุน แต่อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามราคาน้ำมันในตลาดโลกว่าจะมีทิศทางอย่างไรเนื่องจากเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อจิตวิทยาในการลงทุนของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ โดยแนวรับอยู่ที่ 830 จุดและแนวต้านอยู่ที่ 850 จุด
**PTTAR ประเดิมพุ่ง 10%
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัทปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก โดย PTTAR เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC และ บริษัท อะโรเมติกส์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ATC โดยวานนี้ (2 ม.ค.) ราคาเปิดซื้อขายที่ 49.50 บาท สูงจากราคาไอพีโอซึ่งอยู่ที่ 43.06 บาท ก่อนที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมาปิดที่ 47.25บาท เพิ่มขึ้น 4.19 บาท หรือ 9.73% มูลค่าการซื้อขาย 2,970.26 ล้านบาท
นายเพิ่มศักดิ์ ชีวาวัฒนานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR กล่าวว่า การควบรวม 2 บริษัททำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้นและเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก โดยภายหลังการควบรวมกิจการทำให้ PTTAR มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ซึ่งเป็นอันดับ 11 ของตลาดหลักทรัพย์โดยมีมาร์เกตแคปรวมอยู่ที่ 130,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การควบรวมดังกล่าวยังช่วยลดต้นทุนให้กับทั้ง 2 บริษัทเนื่องจากสามารถแลกเปลี่ยนวัตถุในการผลิตระหว่าง 2 บริษัทได้ ซึ่งทำให้คาดว่าในอนาคตจะผลการดำเนินงานของบริษัทจะผันผวนและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนของปีที่ผ่านมากำไรสุทธิของทั้ง 2 บริษัทรวมอยู่ที่ประมาณ 13,600 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ก่อนหน้าประมาณ 20% ในขณะที่ผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 50 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังค่อนข้างผันผวนและอยู่ในระดับสูง
"การควบรวมกันทำให้เราได้ประโยชน์ทั้ง 2 บริษัทเพราะสามารถแลกเปลี่ยนวัตถุดิบซึ่งกันและกันได้ทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลงแต่ในช่วงนี้อาจจะมีการลงทุนเพิ่มเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในอนาคต"นายเพิ่มศักดิ์กล่าว
ส่วนการลงทุนภายหลังการควบรวมกิจการบริษัทวางแผนจะลงทุนเพิ่มอีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงอีก 5 ปีข้างหน้าแบ่งเป็นการสร้างโรงงานผลิต สไตรีน โมโนโพลิเมอร์ หรือ ปิโตรเคมีขั้นกลางที่ผลิตวัตถุดิบเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 5 แสนตันต่อปี
ขณะที่อีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐจะใช่เพื่อลงทุนโครงการเพิ่มศักยภาพในการผลิตและเพิ่มกำลังการผลิต เช่น การสร้างโรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 และหน่วยที่ 3 ซึ่งตั้งเป้าจะทำให้การผลิตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีก 25% และอีกประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ จะใช้เพื่อลงทุนในโครงการขนาดเล็ก รวมถึงการซื้อเครื่องจักรเพื่อเชื่อมต่อระบบการผลิตของทั้ง 2 บริษัท โดยคาดว่าหลังการลงทุนจะช่วยสร้างกำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 200 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้อย่างเต็มจำนวนประมาณปลายปี 2553
สำหรับเงินที่จะใช้เพิ่มลงทุนในโครงการต่างๆจะนำมาจากเงินกู้ยืม และกำไรจากการดำเนินงานปกติ โดยบริษัทจะไม่มีการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะพยายามรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนให้ไม่เกิน 1 เท่าจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 0.57 เท่า
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR กล่าวว่า ความเชี่ยวชาญของผู้บริหารทั้ง 2 บริษัทในธุรกิจแต่ละด้านจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งแม้ว่าการควบรวมจะทำให้ RRC จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีโดยคาดว่าอาจจจะต้องเสียภาษีเพิ่มประมาณ 500 ล้านบาท แต่การควบรวมกิจการก็สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในอนาคตของทั้ง 2 บริษัท
ด้านนางภัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า PTTAR เป็นหลักทรัพย์ตัวแรกที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเนื่องจากจะมีบริษัทขนาดใหญ่ที่เกิดจากการควบรวมเข้ามาจดทะเบียนเพิ่ม โดยที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์สนับสนุนการควบรวมกิจการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือบริษัทจดทะเบียนกับบริษัทนอกตลาดเพื่อเป็นการศักยภาพและเป็นการลดต้นทุน ลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ และสามารถระดมทุนได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
ขณะที่ บล.ฟาร์อีสท์ แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" หุ้น PTTAR โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานปี 51 ที่ 59 บาท ทั้งนี้แม้ระยะยาวมองการควบรวมครั้งนี้จะสร้างความแข็งแกร่งและความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในภูมิภาคให้กับ PTTAR แต่ในระยะสั้นยังมองทิศทางผลประกอบการของ PTTAR จะยังไม่โดดเด่นนัก เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังไม่สดใสในระยะสั้น
ทั้งนี้ แนวโน้มผลประกอบที่คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังจากโครงการ Aromatics II เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3/51 ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 51 ของ PTTAR ที่19,313 ล้านบาท (EPS = 6.52 บาท) ทำให้ประเมินมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานได้ที่ 59.00 บาท อัตราพีอีอยู่ที่ 9 เท่า
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (2 ม.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงหลังนักลงทุนยังค่อนข้างกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ประกอบกับมีแรงขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่จุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 842.97 จุด ลดลง 15.13 จุด หรือ 1.76% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 860.69 จุด มูลค่าการซื้อขาย 12,900.04 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 723.35 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 413.61 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,136.95 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้นักลงทุนรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตต่อไปได้ และทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็ง
ทั้งนี้ หลังจากที่มีการจัดตั้งทีมเศรษฐกิจแล้วตลาดหลักทรัพย์ฯจะเข้าไปเสนอแผนพัฒนาตลาดทุนกับรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เพื่อที่จะมีการประสานการทำงานระหว่างตลาดเงิน ตลาดทุน ซึ่งจะต้องมีคณะกรรมการเข้ามาดูภาพรวมของตลาดเงิน ตลาดทุน ตราสารหนี้ ซึ่งทั้ง 3 ตลาดนั้นมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยหากตลาดทุนมีความแข็งแรงก็จะทำให้การระดมทุนทำได้สะดวกขึ้น
ส่วนกรณีข่าวการทาบทามนายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง และนายทนง พิทยะ อดีต รมว.กระทรวงการคลัง มาเป็นรมว.กระทรวงการคลังคนใหม่ นางภัทรียา กล่าวว่า ทั้ง 2 คน ถือเป็นบุคคลที่มีความรู้เรื่องตลาดทุน ซึ่งนักลงทุนอยากเห็นบุคคลที่มีความเข้าใจด้านตลาดทุนมาเป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรรวมทั้งนักลงทุนสถาบันทยอยไถ่ถอนกองทุน LTF ในช่วงปลายปี จึงส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงแต่ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มูลค่าการซื้อขายไม่ลดลงมาก
สำหรับบรรยากาศการลงทุนในวันนี้ คาดว่ามีโอกาสที่ดัชนีจะปรับลดลงต่อ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามากระตุ้นบรรยากาศการลงทุน แต่อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามราคาน้ำมันในตลาดโลกว่าจะมีทิศทางอย่างไรเนื่องจากเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อจิตวิทยาในการลงทุนของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ โดยแนวรับอยู่ที่ 830 จุดและแนวต้านอยู่ที่ 850 จุด
**PTTAR ประเดิมพุ่ง 10%
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัทปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PTTAR ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก โดย PTTAR เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC และ บริษัท อะโรเมติกส์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ATC โดยวานนี้ (2 ม.ค.) ราคาเปิดซื้อขายที่ 49.50 บาท สูงจากราคาไอพีโอซึ่งอยู่ที่ 43.06 บาท ก่อนที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมาปิดที่ 47.25บาท เพิ่มขึ้น 4.19 บาท หรือ 9.73% มูลค่าการซื้อขาย 2,970.26 ล้านบาท
นายเพิ่มศักดิ์ ชีวาวัฒนานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR กล่าวว่า การควบรวม 2 บริษัททำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้นและเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก โดยภายหลังการควบรวมกิจการทำให้ PTTAR มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ซึ่งเป็นอันดับ 11 ของตลาดหลักทรัพย์โดยมีมาร์เกตแคปรวมอยู่ที่ 130,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การควบรวมดังกล่าวยังช่วยลดต้นทุนให้กับทั้ง 2 บริษัทเนื่องจากสามารถแลกเปลี่ยนวัตถุในการผลิตระหว่าง 2 บริษัทได้ ซึ่งทำให้คาดว่าในอนาคตจะผลการดำเนินงานของบริษัทจะผันผวนและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนของปีที่ผ่านมากำไรสุทธิของทั้ง 2 บริษัทรวมอยู่ที่ประมาณ 13,600 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ก่อนหน้าประมาณ 20% ในขณะที่ผลการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 50 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังค่อนข้างผันผวนและอยู่ในระดับสูง
"การควบรวมกันทำให้เราได้ประโยชน์ทั้ง 2 บริษัทเพราะสามารถแลกเปลี่ยนวัตถุดิบซึ่งกันและกันได้ทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลงแต่ในช่วงนี้อาจจะมีการลงทุนเพิ่มเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในอนาคต"นายเพิ่มศักดิ์กล่าว
ส่วนการลงทุนภายหลังการควบรวมกิจการบริษัทวางแผนจะลงทุนเพิ่มอีก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงอีก 5 ปีข้างหน้าแบ่งเป็นการสร้างโรงงานผลิต สไตรีน โมโนโพลิเมอร์ หรือ ปิโตรเคมีขั้นกลางที่ผลิตวัตถุดิบเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 5 แสนตันต่อปี
ขณะที่อีก 300 ล้านเหรียญสหรัฐจะใช่เพื่อลงทุนโครงการเพิ่มศักยภาพในการผลิตและเพิ่มกำลังการผลิต เช่น การสร้างโรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 และหน่วยที่ 3 ซึ่งตั้งเป้าจะทำให้การผลิตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีก 25% และอีกประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ จะใช้เพื่อลงทุนในโครงการขนาดเล็ก รวมถึงการซื้อเครื่องจักรเพื่อเชื่อมต่อระบบการผลิตของทั้ง 2 บริษัท โดยคาดว่าหลังการลงทุนจะช่วยสร้างกำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 200 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้อย่างเต็มจำนวนประมาณปลายปี 2553
สำหรับเงินที่จะใช้เพิ่มลงทุนในโครงการต่างๆจะนำมาจากเงินกู้ยืม และกำไรจากการดำเนินงานปกติ โดยบริษัทจะไม่มีการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะพยายามรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนให้ไม่เกิน 1 เท่าจากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 0.57 เท่า
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น หรือ PTTAR กล่าวว่า ความเชี่ยวชาญของผู้บริหารทั้ง 2 บริษัทในธุรกิจแต่ละด้านจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งแม้ว่าการควบรวมจะทำให้ RRC จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีโดยคาดว่าอาจจจะต้องเสียภาษีเพิ่มประมาณ 500 ล้านบาท แต่การควบรวมกิจการก็สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในอนาคตของทั้ง 2 บริษัท
ด้านนางภัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า PTTAR เป็นหลักทรัพย์ตัวแรกที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเนื่องจากจะมีบริษัทขนาดใหญ่ที่เกิดจากการควบรวมเข้ามาจดทะเบียนเพิ่ม โดยที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์สนับสนุนการควบรวมกิจการมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือบริษัทจดทะเบียนกับบริษัทนอกตลาดเพื่อเป็นการศักยภาพและเป็นการลดต้นทุน ลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ และสามารถระดมทุนได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
ขณะที่ บล.ฟาร์อีสท์ แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" หุ้น PTTAR โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานปี 51 ที่ 59 บาท ทั้งนี้แม้ระยะยาวมองการควบรวมครั้งนี้จะสร้างความแข็งแกร่งและความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในภูมิภาคให้กับ PTTAR แต่ในระยะสั้นยังมองทิศทางผลประกอบการของ PTTAR จะยังไม่โดดเด่นนัก เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังไม่สดใสในระยะสั้น
ทั้งนี้ แนวโน้มผลประกอบที่คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังจากโครงการ Aromatics II เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3/51 ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 51 ของ PTTAR ที่19,313 ล้านบาท (EPS = 6.52 บาท) ทำให้ประเมินมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานได้ที่ 59.00 บาท อัตราพีอีอยู่ที่ 9 เท่า