"ภัทรียา" เร่งเดินหน้าแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกระดับสู่ตลาดหุ้นในตลาดโลก คาดได้ข้อสรุปชัดภายในไตรมาส 1 แย้มเงินกองทุนกว่าหมื่นล้าน อาจตั้งเป็นกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ชี้แม้ว่าหลังแปรรูปจะต้องมองในเชิงธุรกิจมากขึ้น แต่เชื่อไม่กระทบนักลงทุนเพราะทุกฝ่ายจะปรับตัวเพิ่มประสิทธิภาพได้เอง พร้อมคลายกฎเกณฑ์ให้ทั้งบจ.-บล. เพื่อให้ทำธุรกิจได้สะดวกขึ้นและสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นโยบายทางด้านตลาดทุน รวมถึงแผนงานตลอดปี 51 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะเดินไปทิศทางใดหรืออย่างไร "ผู้จัดการรายวัน" ได้สัมภาษณ์พิเศษ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงกลยุทธที่จะใช้เพิ่มความเชื่อมั่นและมั่นใจต่อการลงทุนตลาดทุนไทย ทั้งในสายตาของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศ เพื่อยกระดับตลาดทุนไทยให้เทียบเท่าสากล
การเดินหน้าเพื่อยกระดับตลาดทุนไทยในปีหน้าเรื่องเร่งด่วน คือ การเร่งศึกษาการแปรรูปตลาดทุนเพื่อให้พร้อมแข่งขันกับตลาดทุนโลกโดยภายในไตรมาส 1 ปีนี้ จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินการ ทั้งในส่วนของโครงสร้างองค์กร คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ รูปแบบในการทำงาน การจัดสรรสัดส่วนการถือหุ้นภายหลังการแปรรูป รวมถึงการจัดการเงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการศึกษาของบริษัทที่เคยเป็นที่ปรึกษาในการแปรรูปตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งขั้นตอนหลังการอนุมัติเลือกรูปแบบในการแปรรูป จะต้องมีการแก้ไขเนื้อหาในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลง
"เงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีค่อนข้างมาก หลังการแปรรูป
อาจจะมีการจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ซึ่งจะต้องดูว่าใครจะเป็นคนที่เข้ามาดูแลเรื่องดังกล่าว แต่ที่แน่ๆจะต้องมีการแยกกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณา โดยจะต้องไม่ทิ้งกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสังคม รวมถึงการสร้างความรู้ในระดับเยาวชน"
สำหรับภาพลักษณ์หลังการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์ มุมมองในเรื่องของการทำธุรกิจคงเกิดขึ้นเนื่องจากแปรสภาพเป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้น โดยประเด็นที่หลายฝ่าย ค่อยข้างกังวลว่า ภาระและต้นทุนในเรื่องต่างๆจะต้องไปอยู่ที่นักลงทุนส่วนตัวมองว่า ในท้ายที่สุดหลังการเปลี่ยนแปลงผู้ประกอบการจะต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มธุรกรรมการต่างๆซึ่งจะส่งผลทำให้ขนาดตลาดทุนใหญ่ขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนลดลงไปได้เอง
นางภัทรียา กล่าวถึงแนวโน้มการเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่า กลุ่มตลาดทุนอาเซียนมีการหารือกันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาแนวทางในการร่วมพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน โดยสิ่งที่สำคัญจะต้องสร้างประโยชน์ให้แก่ทุกฝ่าย
ทั้งนี้ การรวมตัวของกลุ่มตลาดหุ้นในอาเซียนจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กันและกัน เมื่อพร้อมก็จะสามารถไปเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆได้ แต่สิ่งที่ยังสร้างความกังวลให้แก่ตลาดหุ้นในอาเซียน คือ หากเกิดการรวมตัวมากขึ้น จะทำให้ธุรกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นหลังการรวมตัวไปเอื้อประโยชน์ให้แก่ตลาดหุ้น ที่มีความเป็นเสรีมากกว่าและในท้ายที่สุดตลาดหุ้นขนาดใหญ่อาจจะเข้ามาครอบง่ำตลาดหุ้นขนาดเล็กได้
"ในช่วงเดือนมี.ค.ปีหน้าเราจะมีการหารือระหว่างตลาดทุนในอาเซียน เพื่อรวมกำหนดทิศทางและรูปแบบในการร่วมมือกัน โดยแต่ละแห่งจะมีการเสนอรูปแบบ(โมเดล)ต่างๆซึ่งจะต้องมาพิจารณาว่ารูปแบบใดเหมาะสมที่สุด ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะจัดขึ้นที่ประเทศเวียดนาม"
สำหรับแผนงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีนี้ สิ่งที่สำคัญคือการเร่งหาสินค้าเพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้แก่นักลงทุน เช่น ดัชนีที่อ้างอิงกับ SET50 เหมือน ETF หรือดัชนีในหมวดต่างๆ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโดยในเดือนก.พ. ตลาดหลักทรัพย์ฯจะออกดัชนีใหม่คือ เซ็ท ฟุตซี่ อินเด็กซ์ เป็นต้น
ส่วนการเชื่อมโยงต่างประเทศอาจจะนำเอา ETF ที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาเทรดเพื่อสินค้า ในขณะที่การเพิ่มจำนวนนักลงทุนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากปัจจุบันเมื่อเทียบสัดส่วนประชากรในประเทศกับนักลงทุน ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ด้วยเหตุที่นักลงทุนยังไม่มีความรู้ที่เพียงพอ ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯยังเข้าไม่ถึงกลุ่มประชากรทั้งหมด
ในส่วนของแนวทางการเพิ่มจำนวนนักลงทุน การประสานงานกับธนาคารซึ่งถือว่ามีความใกล้ชิดกับประชาชนเป็นสิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการ โดยกลุ่มที่ถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มลูกค้าที่มีเงินฝากกมากว่า 1 ล้านบาท เพราะจะได้รับผลกระทบจากพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องหาแหล่งออมเงินแทนการฝากธนาคาร โดยตั้งเป้าสำคัญคือการทำให้ตลาดทุนเป็นทางเลือก 1 ใน 5 ของประชาชนในการลงทุนใกล้เคียงกับการลงทุนในพันธบัตรและการลงทุนในทองคำ
"เรามีโครงการที่จะเพิ่มจำนวนนักลงทุน โดยให้พนักงานบริษัทจดทะเบียนเข้ามามีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของบริษัทมากขึ้น โดยรูปแบบของโครงการคือ ให้บริษัทจ่ายโบนัสพนักงานเป็นหุ้นแทนการจ่ายเป็นเงินสดเหมือนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือการเปลี่ยนจ่ายเงินสบทบเป็นการจ่ายเป็นหุ้นแทนซึ่งจะทำให้มีจำนวนนักลงทุนเพิ่มขึ้นได้อีกทาง"
ขณะเดียวกันในปีหน้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ในต่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน โดยหากบริษัทหลักทรัพย์ใดมีความสนใจที่จะไปโรดโชว์จะสามารถประสานงานมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อร่วมเดินทางไปให้ข้อมูลร่วมกัน ซึ่งหากการไปโรดโชว์มีบริษัทจดทะเบียนชั้นนำร่วมเดินทางไปโรดโชว์ด้วยก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดี
ด้านการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่บริษัทที่จะเข้ามาระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มจำนวนสินค้าให้นักลงทุน นางภัทรียากล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้มีความสะดวกมากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้มีการประชุมระหว่างคณะอนุกรรมการพิจารณาแก้ไขในเรื่องดังกล่าวมาแล้ว 3-4 ครั้งโดยคาดว่าเบื้องต้นจะได้ข้อสรุปในเรื่องที่อยากให้มีการแก้ไขที่จะเสนอคณะกรรมการตลท.พิจารณาอนุมัติในช่วงต้นเดือนหน้า
ทั้งนี้ การลดขั้นตอน เช่น ช่วงก่อนเข้าจดทะเบียนรวมถึงการเสนอแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถือว่าเป็นเรื่องที่ได้รับข้อเสนอค่อนข้างมาก ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะได้มีการประสานงานไปถึงบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อให้มีการตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการพิจารณา ในขณะที่มีการเสนอให้มีสร้างความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการรายงานรายการเกี่ยวโยง รวมถึงการควบรวมกิจการ เป็นต้น
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาการแก้ไขกฎเกณฑ์ที่ใช้กับบริษัทหลักทรัพย์เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำธุรกิจมากขึ้น และเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทหลักทรัพย์เพื่อรองรับการแข่งขันหลังการเปิดเสรีที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า
นโยบายทางด้านตลาดทุน รวมถึงแผนงานตลอดปี 51 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะเดินไปทิศทางใดหรืออย่างไร "ผู้จัดการรายวัน" ได้สัมภาษณ์พิเศษ นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถึงกลยุทธที่จะใช้เพิ่มความเชื่อมั่นและมั่นใจต่อการลงทุนตลาดทุนไทย ทั้งในสายตาของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศ เพื่อยกระดับตลาดทุนไทยให้เทียบเท่าสากล
การเดินหน้าเพื่อยกระดับตลาดทุนไทยในปีหน้าเรื่องเร่งด่วน คือ การเร่งศึกษาการแปรรูปตลาดทุนเพื่อให้พร้อมแข่งขันกับตลาดทุนโลกโดยภายในไตรมาส 1 ปีนี้ จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับการดำเนินการ ทั้งในส่วนของโครงสร้างองค์กร คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ รูปแบบในการทำงาน การจัดสรรสัดส่วนการถือหุ้นภายหลังการแปรรูป รวมถึงการจัดการเงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการศึกษาของบริษัทที่เคยเป็นที่ปรึกษาในการแปรรูปตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งขั้นตอนหลังการอนุมัติเลือกรูปแบบในการแปรรูป จะต้องมีการแก้ไขเนื้อหาในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลง
"เงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีค่อนข้างมาก หลังการแปรรูป
อาจจะมีการจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน ซึ่งจะต้องดูว่าใครจะเป็นคนที่เข้ามาดูแลเรื่องดังกล่าว แต่ที่แน่ๆจะต้องมีการแยกกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณา โดยจะต้องไม่ทิ้งกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสังคม รวมถึงการสร้างความรู้ในระดับเยาวชน"
สำหรับภาพลักษณ์หลังการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์ มุมมองในเรื่องของการทำธุรกิจคงเกิดขึ้นเนื่องจากแปรสภาพเป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้น โดยประเด็นที่หลายฝ่าย ค่อยข้างกังวลว่า ภาระและต้นทุนในเรื่องต่างๆจะต้องไปอยู่ที่นักลงทุนส่วนตัวมองว่า ในท้ายที่สุดหลังการเปลี่ยนแปลงผู้ประกอบการจะต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มธุรกรรมการต่างๆซึ่งจะส่งผลทำให้ขนาดตลาดทุนใหญ่ขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนลดลงไปได้เอง
นางภัทรียา กล่าวถึงแนวโน้มการเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่า กลุ่มตลาดทุนอาเซียนมีการหารือกันมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาแนวทางในการร่วมพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน โดยสิ่งที่สำคัญจะต้องสร้างประโยชน์ให้แก่ทุกฝ่าย
ทั้งนี้ การรวมตัวของกลุ่มตลาดหุ้นในอาเซียนจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กันและกัน เมื่อพร้อมก็จะสามารถไปเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆได้ แต่สิ่งที่ยังสร้างความกังวลให้แก่ตลาดหุ้นในอาเซียน คือ หากเกิดการรวมตัวมากขึ้น จะทำให้ธุรกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นหลังการรวมตัวไปเอื้อประโยชน์ให้แก่ตลาดหุ้น ที่มีความเป็นเสรีมากกว่าและในท้ายที่สุดตลาดหุ้นขนาดใหญ่อาจจะเข้ามาครอบง่ำตลาดหุ้นขนาดเล็กได้
"ในช่วงเดือนมี.ค.ปีหน้าเราจะมีการหารือระหว่างตลาดทุนในอาเซียน เพื่อรวมกำหนดทิศทางและรูปแบบในการร่วมมือกัน โดยแต่ละแห่งจะมีการเสนอรูปแบบ(โมเดล)ต่างๆซึ่งจะต้องมาพิจารณาว่ารูปแบบใดเหมาะสมที่สุด ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะจัดขึ้นที่ประเทศเวียดนาม"
สำหรับแผนงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีนี้ สิ่งที่สำคัญคือการเร่งหาสินค้าเพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้แก่นักลงทุน เช่น ดัชนีที่อ้างอิงกับ SET50 เหมือน ETF หรือดัชนีในหมวดต่างๆ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาโดยในเดือนก.พ. ตลาดหลักทรัพย์ฯจะออกดัชนีใหม่คือ เซ็ท ฟุตซี่ อินเด็กซ์ เป็นต้น
ส่วนการเชื่อมโยงต่างประเทศอาจจะนำเอา ETF ที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาเทรดเพื่อสินค้า ในขณะที่การเพิ่มจำนวนนักลงทุนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากปัจจุบันเมื่อเทียบสัดส่วนประชากรในประเทศกับนักลงทุน ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ด้วยเหตุที่นักลงทุนยังไม่มีความรู้ที่เพียงพอ ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯยังเข้าไม่ถึงกลุ่มประชากรทั้งหมด
ในส่วนของแนวทางการเพิ่มจำนวนนักลงทุน การประสานงานกับธนาคารซึ่งถือว่ามีความใกล้ชิดกับประชาชนเป็นสิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการ โดยกลุ่มที่ถือว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มลูกค้าที่มีเงินฝากกมากว่า 1 ล้านบาท เพราะจะได้รับผลกระทบจากพ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องหาแหล่งออมเงินแทนการฝากธนาคาร โดยตั้งเป้าสำคัญคือการทำให้ตลาดทุนเป็นทางเลือก 1 ใน 5 ของประชาชนในการลงทุนใกล้เคียงกับการลงทุนในพันธบัตรและการลงทุนในทองคำ
"เรามีโครงการที่จะเพิ่มจำนวนนักลงทุน โดยให้พนักงานบริษัทจดทะเบียนเข้ามามีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของบริษัทมากขึ้น โดยรูปแบบของโครงการคือ ให้บริษัทจ่ายโบนัสพนักงานเป็นหุ้นแทนการจ่ายเป็นเงินสดเหมือนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือการเปลี่ยนจ่ายเงินสบทบเป็นการจ่ายเป็นหุ้นแทนซึ่งจะทำให้มีจำนวนนักลงทุนเพิ่มขึ้นได้อีกทาง"
ขณะเดียวกันในปีหน้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ในต่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน โดยหากบริษัทหลักทรัพย์ใดมีความสนใจที่จะไปโรดโชว์จะสามารถประสานงานมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อร่วมเดินทางไปให้ข้อมูลร่วมกัน ซึ่งหากการไปโรดโชว์มีบริษัทจดทะเบียนชั้นนำร่วมเดินทางไปโรดโชว์ด้วยก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดี
ด้านการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่บริษัทที่จะเข้ามาระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มจำนวนสินค้าให้นักลงทุน นางภัทรียากล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไขกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้มีความสะดวกมากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้มีการประชุมระหว่างคณะอนุกรรมการพิจารณาแก้ไขในเรื่องดังกล่าวมาแล้ว 3-4 ครั้งโดยคาดว่าเบื้องต้นจะได้ข้อสรุปในเรื่องที่อยากให้มีการแก้ไขที่จะเสนอคณะกรรมการตลท.พิจารณาอนุมัติในช่วงต้นเดือนหน้า
ทั้งนี้ การลดขั้นตอน เช่น ช่วงก่อนเข้าจดทะเบียนรวมถึงการเสนอแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถือว่าเป็นเรื่องที่ได้รับข้อเสนอค่อนข้างมาก ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะได้มีการประสานงานไปถึงบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อให้มีการตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการพิจารณา ในขณะที่มีการเสนอให้มีสร้างความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการรายงานรายการเกี่ยวโยง รวมถึงการควบรวมกิจการ เป็นต้น
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาการแก้ไขกฎเกณฑ์ที่ใช้กับบริษัทหลักทรัพย์เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำธุรกิจมากขึ้น และเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บริษัทหลักทรัพย์เพื่อรองรับการแข่งขันหลังการเปิดเสรีที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า
