หอการค้าฯ ปรับเป้าเศรษฐกิจปีนี้ มีลุ้นโตถึง 5.5% หลังรัฐเข็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง คาดมีเงินเข้าระบบ 6-8 หมื่นล้าน
ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ศูนย์พยากรณ์ฯ ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มเป็น 4.5-5.5% จากเดิม 4.5-5.0% เนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ใช้เม็ดเงินอัดฉีดจากนโยบายการคลัง ซึ่งเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามา 6-8 หมื่นล้านบาท โดยจะเห็นสัญญาณชัดเจนในช่วงเดือนมิถุนายน
"มาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ทำให้การบริโภคและการลงทุนได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว ขณะที่ราคาพืชผลการเกษตรมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ทำให้เกษตรกรมีอำนาจซื้อมากขึ้น และส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง" ดร.ธนวรรธน์กล่าว
นอกจากนี้ การส่งออกของไทยปีนี้ ยังเติบโตได้ในระดับ 12.5% ตามเป้าหมาย และเชื่อว่าการส่งออกในไตรมาส 1 และ 2 จะยังขยายตัวได้ดีต่อไป แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่เศรษฐกิจของจีน อินเดีย รวมถึงภูมิภาคเอเชียยังคาดว่าจะขยายตัวในระดับ 7-8% อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ยังเป็นเรื่องเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น การปรับขึ้นของราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ อัตราเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น รวมถึงปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ศูนย์พยากรณ์ฯ ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มเป็น 4.5-5.5% จากเดิม 4.5-5.0% เนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ใช้เม็ดเงินอัดฉีดจากนโยบายการคลัง ซึ่งเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามา 6-8 หมื่นล้านบาท โดยจะเห็นสัญญาณชัดเจนในช่วงเดือนมิถุนายน
"มาตรการกระตุ้นของภาครัฐ ทำให้การบริโภคและการลงทุนได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว ขณะที่ราคาพืชผลการเกษตรมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ทำให้เกษตรกรมีอำนาจซื้อมากขึ้น และส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง" ดร.ธนวรรธน์กล่าว
นอกจากนี้ การส่งออกของไทยปีนี้ ยังเติบโตได้ในระดับ 12.5% ตามเป้าหมาย และเชื่อว่าการส่งออกในไตรมาส 1 และ 2 จะยังขยายตัวได้ดีต่อไป แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะส่งสัญญาณเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่เศรษฐกิจของจีน อินเดีย รวมถึงภูมิภาคเอเชียยังคาดว่าจะขยายตัวในระดับ 7-8% อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ยังเป็นเรื่องเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น การปรับขึ้นของราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ อัตราเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น รวมถึงปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้