ผู้บริหารฯ แบงก์กรุงไทย ระบุ ธปท.กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะเงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุนผลัก ทั้งน้ำมัน-ราคาสินค้า กดดันให้ปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่เงินทุนไหลเข้าก็กดดันให้ต้องลดดอกเบี้ย เพราะส่วนต่างที่ห่างกับตลาดเงินสหรัฐถึง 1% พร้อมฟันธง กนง.อาจตัดสินใจคง ดบ.นโยบายที่ 3.25% ในการประชุม กนง. วันที่ 9 เม.ย. เพื่อรักษาเสถียรภาพ
ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยว่า การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 9 เม.ย.นี้ ทิศทางดอกเบี้ยยังดูได้ยาก เพราะตลาดเงินไม่รู้ว่า กนง.จะดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยไปในทิศทางใด เนื่องจากขณะนี้ อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ กนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ขณะที่เงินทุนไหลเข้าในปัจจุบันก็อยู่ระดับสูงเช่นกัน เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยสูงกว่าสหรัฐ 1.00% ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทั้งด้านบวกและลบมีน้ำหนักเท่ากันจึงต้องติดตามว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะให้น้ำหนักในด้านใดมากกว่ากัน แต่มองว่าการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 3.25% ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถทำได้
ขณะที่ นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะกรรมการคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ บอร์ด กนง. เปิดเผยว่า การประชุมวันที่ 9 เม.ย.นี้ ที่ประชุมฯ กนง. จะลดดอกเบี้ยลงหรือไม่อย่างไร คงจะต้องมีการพิจารณาหลายปัจจัยประกอบ โดยเฉพาะปัจจัยภายในประเทศ มากกว่าจะมาจากกรณีเฟดปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งจะต้องให้เกิดสมดุลในทุกส่วนทั้งภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และฝาก รวมไปถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย
โดยปัจจัยเงินเฟ้อก็จะต้องพิจารณาทิศทางน้ำมันตลาดโลกที่ยังคงไม่ได้ปรับตัวลดลงแรงนัก ซึ่งจะดันให้ราคาสินค้า ต้นทุนขนส่ง และวัตถุดิบ ดังนั้น กนง.ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
"ต้องยอมรับว่า ขณะนี้ดอกเบี้ยเงินฝากของไทยกับเงินกู้นั้นห่างกันมาก เพราะเมื่อเราลดดอกเบี้ยให้แล้วธนาคารพาณิชย์มักจะไม่ได้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้มาก แต่กลับไปลดดอกเบี้ยฝากมากกว่า โดยที่ผ่านมาผู้ฝากเงินกลายเป็นคนซัพพอตแบงก์แทน เราห่วงจุดนี้เช่นกันกลายเป็นว่าแบงก์ได้ประโยชน์หากลดลงมากอีกผู้ฝากเงินอาจไม่อยากฝากจะเป็นปัญหาได้เช่นกัน"
ล่าสุด นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. กล่าวว่า การนำเสนอรายงานแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของคณะกรรมการ กนง. ในเดือน เม.ย.นี้ จะมีการปรับสมมติฐานราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาครกลางสหรัฐด้วย
สำหรับปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะนี้ยังเห็น momentum ของการบริโภคภายในประเทศขยายตัวดีขึ้น ซึ่งทำให้การนำเข้าเร่งตัวขึ้น ขณะที่การส่งออกก็ยังขยายตัวได้ดี แม้ว่าล่าสุดในเดือน ก.พ.51 จะขาดดุลการค้าถึงกว่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็เป็นสิ่งที่ธปท.คาดการณ์ไว้แล้ว และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดแรงกดดันค่าเงินบาทได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในขณะนี้แม้ว่าจะแข็งค่าขึ้น แต่ก็ยังเกาะกลุ่มประเทศคู่ค้า และไม่ได้แข็งค่าไปมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค
