xs
xsm
sm
md
lg

นายแบงก์คาด 18 มี.ค.นี้ เฟดลด ดบ. 0.50%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“สุภัค” ฟันธงเฟดลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ในการประชุมวันที่ 18 มีนาคมนี้ เหตุสหรัฐยังมีทิศทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่ แนะหากดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีส่วนต่างห่างกับดอกเบี้ยสหรัฐมาก ยิ่งกดดันให้บาทแข็งจากเงินทุนไหลเข้า ด้านเลขาธิการสมาคมธนาคารไทยระบุหากแบงก์ลดดอกเบี้ยเงินฝากลงตามดอกเบี้ยนโยบายจะผลักให้ลูกค้าหันไปลงทุนในตลาดทุน

นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือTMB เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ของธนาคารกลางสหรัฐฯ(FOMC)ที่จะมีขึ้นในวันที่ 18 มีนาคม 2551 นั้น คาดว่าเฟดจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.50% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของเฟดเหลือเพียง 2.25% จากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.00% เนื่องจากที่ผ่านมาแม้ว่าทางการสหรัฐจะมีการออกมาตรการต่างๆมากระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติซับไพรม์ รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาแล้วก็ตาม แต่ทิศทางเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มการชะลอตัวลงอยู่ ในการประชุมครั้งนี้จึงน่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก

"ในการประชุมเฟดครั้งนี้ ก็คาดว่าจะมีการปรับลดลงอีก แม้ว่าครั้งๆก่อนจะปรับลดลงมาค่อนข้างมากแล้ว แต่จะเป็นเท่าไหร่นั้น ก็แล้วแต่การมองปัญหา แต่คาดว่าจะลดลงอีกประมาณ 0.50%"นายสุภัคกล่าว

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยนั้น ขึ้นอยู่กับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ของไทยที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 เมษายน 2551 ซึ่งทางกนง.ก็จะต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) ระยะ 1 วัน หรืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลงจากปัจจุบันที่อยู่ที่ 3.25% หรือไม่ โดยหากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ มีช่วงห่างที่มากเกินไป ก็จะส่งผลกระทบค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากจะมีเงินทุนจากต่างชาติไหลส่วนหนึ่งเข้ามายังประเทศไทย เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า

"เห็นได้ชัดเจนว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงไม่ฟื้นตัว และเฟดก็ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจของเขายังไม่ดีขึ้น ก็คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 0.50% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของเค้าเอง และไทยก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นส่งผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย เพราะไทยมีอัตราการส่งออกไปยังสหรัฐฯค่อนข้างมาก และถือว่าสหรัฐฯเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ซึ่งทาง กนง. ก็ต้องพิจารณาในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยให้ดี ซึ่งหากส่วนต่างดอกเบี้ยห่างกันมากเกินไป จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้" นายสุภัค กล่าว

ด้านนายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ในการประชุมของเฟดคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกอย่างแน่นอน แต่โดยส่วนตัวมองว่าน่าจะลดเพียง 0.25% ซึ่งหากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.25% ทาง กนง.ก็ไม่จำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตามเฟด แต่หากเฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่า 0.25% ตามที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ มองว่า กนง.ก็คงปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตามเฟด เนื่องจากหาก กนง. ไม่ปรับลดตามเฟด ก็จะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ กว้างมากเกินไป ซึ่งทำให้มีเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามายังไทยจำนวนมาก และส่งผลต่อค่าเงินบาท รวมถึงธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม หาก กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยตามเฟด ก็เป็นที่แน่นอนว่าทางธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยก็จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยตาม แต่ทางธนาคารพาณิชย์คงไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ทันที ซึ่งก็คงจะขึ้นอยู่ธนาคารแต่ละแห่งว่าจะมีความพร้อมในการดำเนินการเมื่อใด อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่มีนโยบายในการระดมเงินฝาก ซึ่งหากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ประชาชนไม่มีแรงจูงใจในการมาฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ แต่จะหันไปลงทุนในตลาดทุนอื่นที่มีการให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น