ธปท.มั่นใจจะดูแลค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่องไม่ให้ผันผวนเกินพื้นฐานเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ฟุ้งเงินบาทแข็งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยคนไทยสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาถูกลงและผู้ประกอบการสามารถขายสินค้าได้รับรายได้มากขึ้น จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องปรับตัวไปพร้อมๆกัน ขณะที่หลังจากเฟดลดดอกเบี้ยลงยังไม่พบเงินไหลเข้าผิดปกติ ระบุอนาคตอาจเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยลงอีก ขณะที่ค่าบาทวานนี้อ่อนค่าแตะ 31.32 บาทต่อดอลล์ คาดดอลล์รีบาวน์
นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ สายเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธปท.ได้ติดตามดูแลค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความผันผวนและการแข็งค่าของเงินบาทที่เกินจนอาจจะสร้างผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงของประเทศ ซึ่งหาก ธปท.ต้องการเห็นเงินบาทแข็งค่าในทิศทางเดียวคงไม่ต้องเข้าไปซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดูแลค่าเงินบาท จนส่งผลให้ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นจำนวนมากนับตั้งแต่ปี 2549 ที่ผ่านมา ดังนั้น ในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของธปท.จะไม่ฝืนตลาด แต่ก็ไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนมากเกินพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในปัจจุบันเมื่อเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ดี และมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นก็มีส่วนที่ดีด้วย คือ คนไทยสามารถซื้อสินค้าจากต่างประเทศในราคาถูกลงและผู้ประกอบการที่มีการขายสินค้าในรูปเงินตราต่างประเทศก็จะได้รายได้มากขึ้น
“ธปท.ไม่ได้พอใจหรือยินดีที่เห็นค่าเงินบาทแข็งขึ้น และที่พูดว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นจะช่วยชะลอการขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศในช่วงที่ผ่านมาให้ลดลงประมาณ 3-4 บาทนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ธปท.ต้องการให้ค่าเงินบาทแข็ง เพื่อพยุงราคาน้ำมัน แต่จะชี้ให้เห็นว่าทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย จึงต้องมีการปรับตัวไปพร้อมกันของทุกฝ่าย”นางอัจนา กล่าว
นางอัจนา กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยห่างกับไทยถึง 1% นั้น ขณะนี้ธปท.ยังไม่พบว่ามีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาผิดปกติหรือในลักษณะการเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในสถานการณ์การเงินโลกในปัจจุบันความต่างของอัตราดอกเบี้ยเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่นักลงทุนพิจารณา แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่มีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย ขณะเดียวกันหากพิจารณาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายในแต่ละประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย ไทยก็มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำที่สุดแล้ว
สำหรับกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าเฟดมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าระดับปัจจุบัน คือ 2.25%ว่า ในส่วนตัวมองว่าเฟดจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่นิ่ง ซึ่งธปท.ก็ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเมื่อวานนี้(20 มี.ค.) เริ่มอ่อนค่าลงมาแตะที่ระดับ 31.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไม่ได้เกิดจากการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท แต่เป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากตลาดต่างมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% ถือว่าน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงถึง 1-1.25% ทำให้เชื่อว่าปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่ร้ายแรงนัก จึงเริ่มมีการนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินดอลลาร์กลับไปยังสหรัฐมากขึ้น
“ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง รวมทั้งค่าเงินสกุลต่างๆ ในประเทศแถบภูมิภาค และส่งผลให้ราคาน้ำมันและทองคำเริ่มลดลงเช่นกันส่งผลให้มีนักลงทุนบางรายนำเงินดอลลาร์เข้าไปลงทุนซื้อทองคำและน้ำมันมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามธปท.จะดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนเกินกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ”
อย่างไรก็ตาม การที่เงินบาทแข็งจะส่งผลดีต่อการลงทุน ขณะเดียวกันมาตรการต่างๆ ของกระทรวงการคลังก็เอื้อให้เกิดการลงทุนที่ดี และอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ได้สูงมากนักจนเป็นอุปสรรคในการลงทุน รวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างชาติเริ่มกลับมาดีขึ้น ถือเป็นบรรยากาศที่ดีเหมาะในการลงทุน
**ดอลล์รีบาวน์กดบาทอ่อน**
นักค้าเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า เงินบาทวานนี้อ่อนค่าลงจากวันก่อนหน้า โดยเปิดตลาดที่ระดับ 31.18-31.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าสุดของวัน และอ่อนค่าลงมาต่อเนื่อง ปิดตลาดที่ระดับ 31.30-31.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและเป็นระดับที่อ่อนค่าสุดของวัน
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทวานนี้ น่าจะมาจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มมีการรีบาวน์หลังจากที่อ่อนค่าลงมาอย่างต่อเนื่อง และมีแรงซื้อดอลลาร์จากผู้นำเข้ามาด้วย โดยคาดว่าวันนี้ค่าเงินบาทจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 31.25-31.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่แนวโน้มในระยะยาวค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอยู่
นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ สายเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธปท.ได้ติดตามดูแลค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความผันผวนและการแข็งค่าของเงินบาทที่เกินจนอาจจะสร้างผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงของประเทศ ซึ่งหาก ธปท.ต้องการเห็นเงินบาทแข็งค่าในทิศทางเดียวคงไม่ต้องเข้าไปซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดูแลค่าเงินบาท จนส่งผลให้ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นจำนวนมากนับตั้งแต่ปี 2549 ที่ผ่านมา ดังนั้น ในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของธปท.จะไม่ฝืนตลาด แต่ก็ไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนมากเกินพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในปัจจุบันเมื่อเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ดี และมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นก็มีส่วนที่ดีด้วย คือ คนไทยสามารถซื้อสินค้าจากต่างประเทศในราคาถูกลงและผู้ประกอบการที่มีการขายสินค้าในรูปเงินตราต่างประเทศก็จะได้รายได้มากขึ้น
“ธปท.ไม่ได้พอใจหรือยินดีที่เห็นค่าเงินบาทแข็งขึ้น และที่พูดว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นจะช่วยชะลอการขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศในช่วงที่ผ่านมาให้ลดลงประมาณ 3-4 บาทนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ธปท.ต้องการให้ค่าเงินบาทแข็ง เพื่อพยุงราคาน้ำมัน แต่จะชี้ให้เห็นว่าทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย จึงต้องมีการปรับตัวไปพร้อมกันของทุกฝ่าย”นางอัจนา กล่าว
นางอัจนา กล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยห่างกับไทยถึง 1% นั้น ขณะนี้ธปท.ยังไม่พบว่ามีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาผิดปกติหรือในลักษณะการเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในสถานการณ์การเงินโลกในปัจจุบันความต่างของอัตราดอกเบี้ยเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นที่นักลงทุนพิจารณา แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่มีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย ขณะเดียวกันหากพิจารณาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายในแต่ละประเทศแถบภูมิภาคเอเชีย ไทยก็มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำที่สุดแล้ว
สำหรับกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าเฟดมีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าระดับปัจจุบัน คือ 2.25%ว่า ในส่วนตัวมองว่าเฟดจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่นิ่ง ซึ่งธปท.ก็ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเมื่อวานนี้(20 มี.ค.) เริ่มอ่อนค่าลงมาแตะที่ระดับ 31.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐไม่ได้เกิดจากการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท แต่เป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากตลาดต่างมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% ถือว่าน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงถึง 1-1.25% ทำให้เชื่อว่าปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่ร้ายแรงนัก จึงเริ่มมีการนำเงินบาทไปแลกเป็นเงินดอลลาร์กลับไปยังสหรัฐมากขึ้น
“ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง รวมทั้งค่าเงินสกุลต่างๆ ในประเทศแถบภูมิภาค และส่งผลให้ราคาน้ำมันและทองคำเริ่มลดลงเช่นกันส่งผลให้มีนักลงทุนบางรายนำเงินดอลลาร์เข้าไปลงทุนซื้อทองคำและน้ำมันมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามธปท.จะดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนเกินกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ”
อย่างไรก็ตาม การที่เงินบาทแข็งจะส่งผลดีต่อการลงทุน ขณะเดียวกันมาตรการต่างๆ ของกระทรวงการคลังก็เอื้อให้เกิดการลงทุนที่ดี และอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ได้สูงมากนักจนเป็นอุปสรรคในการลงทุน รวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างชาติเริ่มกลับมาดีขึ้น ถือเป็นบรรยากาศที่ดีเหมาะในการลงทุน
**ดอลล์รีบาวน์กดบาทอ่อน**
นักค้าเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า เงินบาทวานนี้อ่อนค่าลงจากวันก่อนหน้า โดยเปิดตลาดที่ระดับ 31.18-31.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าสุดของวัน และอ่อนค่าลงมาต่อเนื่อง ปิดตลาดที่ระดับ 31.30-31.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐและเป็นระดับที่อ่อนค่าสุดของวัน
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทวานนี้ น่าจะมาจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มมีการรีบาวน์หลังจากที่อ่อนค่าลงมาอย่างต่อเนื่อง และมีแรงซื้อดอลลาร์จากผู้นำเข้ามาด้วย โดยคาดว่าวันนี้ค่าเงินบาทจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 31.25-31.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่แนวโน้มในระยะยาวค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอยู่