คลังเผยฐานะการคลังของรัฐบาลในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลขาดดุลเงินสด 1.49 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายรัฐที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ในปีนี้ ขณะที่เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแรกที่รัฐกลับเกินดุลกว่า 1 พันล้านบาท แต่รัฐยังคงพัฒนาตลาดตราสารหนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการกู้เงินจากการออกพันธบัตรและตราสารหนี้ต่อไป
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าฐานะการคลังในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 (ต.ค.50-ก.พ.51) รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมทั้งสิ้น 149,188 ล้านบาท สูงกว่าการขาดดุลช่วงเดียวกันปีก่อน 10.6% โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 133,280 ล้านบาท และการขาดดุลเงินนอกงบประมาณ 15,908 ล้านบาท ทั้งนี้ การขาดดุลดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับ 5% ในปีนี้ ขณะเดียวกันฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 รัฐบาลเกินดุลเงินสด 1,079 ล้านบาท ถือเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณที่มีการเกินดุลเงินสด
ทั้งนี้ ฐานะการคลังในช่วง 5 เดือนแรกปีงบประมาณ 2551 โดยรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 537,054 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.6% โดยภาษีที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรขาเข้า และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะเดียวกันรัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 670,334 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน12.2% โดยแบ่งเป็นรายจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบัน 613,445 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเบิกจ่าย 37% ของวงเงินงบประมาณที่มีอยู่ 1.66 ล้านล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตราการเบิกจ่าย 34.2%ของวงเงินงบประมาณที่มีอยู่ 1.57 ล้านล้านบาท และรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 56,889 ล้านบาท
ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณจำนวน 133,280 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 15,908 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังสุทธิจำนวน 7,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 149,188 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลชดเชยการขาดดุล ดังกล่าวโดยการออกพันธบัตรและตั๋วสัญญาใช้เงินรวม 74,270 ล้านบาท และใช้เงินคงคลัง 74,918 ล้านบาท
นายสมชัย กล่าวว่า ส่วนฐานะการคลังเดือนกุมภาพันธ์ 2551 นั้น รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 106,310 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน17,242 ล้านบาท หรือคิดเป็น19.4% ซึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีเบียร์ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีสุราฯ เพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจและรายได้ส่วนราชการอื่นจากค่าภาคหลวงปิโตรเลียมยังเพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกันรัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 118,658 ล้านบาท หรือลดลง 40.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายจ่ายประจำลดลง 28.4% และรายจ่ายลงทุนลดลง 80.4% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีมีผลบังคับล่าช้า ดังนั้น หลังจากเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2550 ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นไป
ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ขาดดุล 12,348 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณซึ่งเกินดุล 13,427 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดเกินดุล 1,079 ล้านบาท อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังคงกู้เงินด้วยการออกพันธบัตรและตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 15,270 ล้านบาท เพื่อรักษาความต่อเนื่องของการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ แม้ดุลเงินสดในเดือนนี้จะเกินดุลก็ตาม
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าฐานะการคลังในช่วง 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2551 (ต.ค.50-ก.พ.51) รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวมทั้งสิ้น 149,188 ล้านบาท สูงกว่าการขาดดุลช่วงเดียวกันปีก่อน 10.6% โดยเป็นการขาดดุลเงินงบประมาณ 133,280 ล้านบาท และการขาดดุลเงินนอกงบประมาณ 15,908 ล้านบาท ทั้งนี้ การขาดดุลดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับ 5% ในปีนี้ ขณะเดียวกันฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 รัฐบาลเกินดุลเงินสด 1,079 ล้านบาท ถือเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณที่มีการเกินดุลเงินสด
ทั้งนี้ ฐานะการคลังในช่วง 5 เดือนแรกปีงบประมาณ 2551 โดยรัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 537,054 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.6% โดยภาษีที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้น ได้แก่ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรขาเข้า และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะเดียวกันรัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 670,334 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน12.2% โดยแบ่งเป็นรายจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบัน 613,445 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเบิกจ่าย 37% ของวงเงินงบประมาณที่มีอยู่ 1.66 ล้านล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตราการเบิกจ่าย 34.2%ของวงเงินงบประมาณที่มีอยู่ 1.57 ล้านล้านบาท และรายจ่ายจากงบประมาณปีก่อน 56,889 ล้านบาท
ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณจำนวน 133,280 ล้านบาท และเมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณที่ขาดดุลจำนวน 15,908 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการไถ่ถอนตั๋วเงินคลังสุทธิจำนวน 7,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 149,188 ล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลชดเชยการขาดดุล ดังกล่าวโดยการออกพันธบัตรและตั๋วสัญญาใช้เงินรวม 74,270 ล้านบาท และใช้เงินคงคลัง 74,918 ล้านบาท
นายสมชัย กล่าวว่า ส่วนฐานะการคลังเดือนกุมภาพันธ์ 2551 นั้น รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลัง 106,310 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน17,242 ล้านบาท หรือคิดเป็น19.4% ซึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ภาษีเบียร์ ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีสุราฯ เพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจและรายได้ส่วนราชการอื่นจากค่าภาคหลวงปิโตรเลียมยังเพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน
ขณะเดียวกันรัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น 118,658 ล้านบาท หรือลดลง 40.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายจ่ายประจำลดลง 28.4% และรายจ่ายลงทุนลดลง 80.4% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีมีผลบังคับล่าช้า ดังนั้น หลังจากเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2550 ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นไป
ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ขาดดุล 12,348 ล้านบาท เมื่อรวมกับดุลเงินนอกงบประมาณซึ่งเกินดุล 13,427 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดเกินดุล 1,079 ล้านบาท อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังคงกู้เงินด้วยการออกพันธบัตรและตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 15,270 ล้านบาท เพื่อรักษาความต่อเนื่องของการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ แม้ดุลเงินสดในเดือนนี้จะเกินดุลก็ตาม
