xs
xsm
sm
md
lg

“เลี้ยบ” ประกาศมาตรการฉุกเฉิน รองรับผลกระทบ 30%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รมว.คลัง ประกาศมาตรการเสริมรองรับทันที หลังแบงก์ชาติประกาศยกเลิก 30% เร่งแปลงหนี้ต่างประเทศ ลดภาระต้นทุน พร้อมหันกู้ในประเทศแทน เชื่อวันจันทร์ที่ 3 มี.ค.นี้ ผลกระทบไม่รุนแรง

วันที่ (29 ก.พ.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ ประกาศมาตรการรองรับผลกระทบสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็ง ภายหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศยกเลิกมาตรการสำรอง 30% เงินทุนนำเข้าระยะสั้น เมื่อเวลา 16.00 น.วันนี้ โดยจะมีผลทันที ในวันจันทร์ที่ 3 มี.ค.นี้ โดยมาตรการของกระทรวงการคลังจะเน้นไปที่การลดแรงกดดันค่าเงินบาท และการสนับสนุนให้ออกไปลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับความผันผวนที่อาจจะมีขึ้นจากการปรับตัวในระยะแรกภายหลังจากการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และเพื่อเป็นการวางรากฐานในการสร้างความสมดุลระหว่างเงินทุนไหลเข้าและไหลออกให้เป็นไปตามกลไกตลาด กระทรวงการคลังจึงได้เตรียมมาตรการสนับสนุนไว้

โดยในระยะเร่งด่วน กระทรวงการคลังจะประสานร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เร่งแปลงหนี้ต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศให้เป็นสกุลเงินบาท (Swap และ Refinancing) ในวงเงินรวมประมาณ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท

นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า หลังจากนี้ ไทยต้องชะลอการกู้เงินต่างประเทศ และจะระดมทุนจากแหล่งเงินภายในประเทศเป็นหลัก ด้วยการเพิ่มวงเงินการออกพันธบัตรออมทรัพย์ให้แก่ประชาชนรายย่อยและจัดโควต้าพิเศษสำหรับผู้รับบำนาญ วงเงิน 12,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันจะมีการออกพันธบัตรระยะยาวอายุ 30 ปี เพื่อเตรียมการระดมทุนสำหรับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects)

“หลังจาก พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะมีผลบังคับใช้ กระทรวงการคลังจะเร่งออกพันธบัตรกู้เงินบาทเพื่อระดมเงินจากในประเทศไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ, ดูแลให้สถาบันการเงินของรัฐบาลขยายการลงทุนในต่างประเทศ และสนับสนุนให้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนประกันสังคม และกองทุนรวมที่รัฐบาลกำกับดูแล นำเงินไปลงทุนในแหล่งที่เหมาะสมในต่างประเทศมากขึ้น”

นอกจากนี้ รัฐบาลได้เตรียมปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ และขยายกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้สถาบันและบุคคลในประเทศสามารถถือเงินตราต่างประเทศหรือนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากมาตรการผ่อนคลายการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ได้ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้

นพ.สุรพงษ์ กล่าวอีกว่า กระทรวงการคลัง ยังจะมีมาตรการวางรากฐานในการสร้างความสมดุลระหว่างเงินทุนไหลเข้าและไหลออก และมาตรการกระตุ้นและเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนให้ภาคเอกชนเร่งลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตมากขึ้น โดยให้ผู้ลงทุนสามารถหักค่าเสื่อมราคาของสินค้าทุนได้เร็วขึ้น กำกับดูแลการเบิกจ่ายเงินลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ (Mega Projects) ของภาครัฐให้เป็นไปตามกำหนดเวลา รวมทั้งช่วยจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม

ประเด็นสุดท้ายที่สำคัญมาก คือ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย และผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายเงินให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้กลไกสถาบันการเงินเฉพาะกิจและสถาบันการเงินของรัฐเป็นแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเงินให้แก่ประชาชนในระดับฐานราก และให้แก่ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบธนาคารพาณิชย์ได้ตามปกติ

นพ.สุรพงษ์ เชื่อว่า ธปท.จะมีมาตรการรับมือผลกระทบจากการยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ตลอดทั้งสัปดาห์หน้า โดยในช่วงสุดสัปดาห์ 2 วันนี้จะพยายามชี้แจงทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องว่าสิ่งที่คลังและแบงก์ชาติได้ดำเนินการนั้น เป็นไปอย่างรอบคอบ และได้เตรียมการมานานพอสมควรแล้วก่อนที่จะตัดสินใจ ดังนั้น เชื่อว่า วันจันทร์นี้ หลังเปิดทำการแบงก์ชาติจะมีมาตรการเพื่อรองรับกับผลที่จะเกิดขึ้นตลอดสัปดาห์

สำหรับมาตรการที่สำคัญที่จะต้องดำเนินการในช่วงต่อไป คือ การสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมาย ซึ่งในสัปดาห์หน้า กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และเชื่อว่า จะทำให้เกิดความมั่นใจและปัญหาผลกระทบการไหลเข้าของเงินดอลลาร์จะหมดไปได้

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเริ่มมาตรการแปลงหนี้ต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจเป็นเงินบาทตั้งแต่วันจันทร์ที่ 3 มี.ค.เป็นโอกาสดีที่คลังจะได้สวอปหนี้

ส่วนมาตรการระดมเงินกู้ภายในประเทศ ผ่านการออกพันธบัตรออมทรัพย์เพิ่มเติมอีก 1.2 หมื่นล้านบาท จากเดิมกำหนด 6 พันล้านบาท ทำให้ช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ 51 จะเพิ่มวงเงินการออกพันธบัตรขายจากเดือนละ 500 ล้านบาท เป็น 2,000 ล้านบาท และคาดว่า อัตราดอกเบี้ยน่าจะสูงขึ้นเป็นที่น่าสนใจจากผู้ลงทุน

สำหรับการออกพันธบัตรระยะยาว 30 ปี เพื่อลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์นั้น คาดว่า จะเป็นการออกเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณก่อน เป็นวงเงินประเดิมก่อน แต่ยังไม่ได้กำหนดวงเงินที่ชัดเจน เนื่องจากโครงการเมกะโปรเจกต์จะเป็นการใช้เงินจริงช่วงปลายปีนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น