ซีพีเอฟ เจอพิษราคาสินค้าเนื้อสัตว์ตกต่ำสวนทางราคาวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้น ผสมโรงเงินบาทแข็งค่า ฉุดผลการดำเนินงานปี 50 กำไรทรุดเกือบ 50% จาก 2,510 ล้านบาท เหลือแค่ 1,275 ล้านบาท ขณะที่บอร์ดใจป้ำอนุมัติจัดสรรงบ 640 ล้านบาท จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 0.085 บาท กำหนดจ่าย 22 พ.ค.นี้
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 มีมติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 50 ในอัตราหุ้นละ 0.085 บาท สำหรับหุ้นสามัญจำนวน 7,519.94 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 639.19 ล้านบาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 3 เมษายน 2551 เวลา 12.00 น. และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2551
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการยังอนุมัติให้แก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ 3 วัตถุประสงค์ของบริษัทเพื่อเพิ่มการประกอบกิจการขึ้นอีก 8 ข้อ จากเดิม 23 ข้อเป็น 31 ข้อ เพื่อเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจที่ต่อเนื่องเพิ่มขึ้น อาทิ การประกอบกิจการรโรงงานผลิตสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ป่น กระดูกสัตว์ป่น หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ คล้ายคลึงกัน เพื่อใช้เอง เพื่อการจำหน่าย เพื่อการรับจ้างผลิต หรือเพื่อการอื่นใด หรือประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ประเภทน้ำมันไบโอดีเซล รวมทั้งผลพลอยได้จากการผลิตน้ำมันดังกล่าว
รวมถึง การประกอบกิจการสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ประเภทน้ำมันไบโอดีเซล การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ทางบก ทางน้ำ และทางท่อหรือโดยวิธีอื่นใด เพื่อกิจการของตนเอง หรือเพื่อการรับจ้าง รวมทั้งการประกอบกิจการโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า ไอน้ำร้อน และ/หรือแก๊สต่างๆ เพื่อใช้เอง เพื่อการจำหน่าย หรือเพื่อการอื่นใด รวมถึงการซื้อมาเพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าดังกล่าว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มติคณะกรรมการที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลและการแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิดังกล่าว จะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น โดยบริษัทกำหนดจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2551 ในวันที่ 23 เมษายน 51 และกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นในการเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2551 ในวันที่ 3 เมษายน 51 เป็นต้นไป
ด้านผลการดำเนินงานประจำปี 2550 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 10,777.63 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.43 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,859.21 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.25 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8,918.42 ล้านบาท คิดเป็น 479.69% ขณะที่กำไรสุทธิรวมบริษัทย่อยอยู่ที่ 1,275.13 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.18 บาท ลดลงจากปีก่อนที่กำไรสุทธิ 2,510.33 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.35 บาท ลดลง 1,235.20 ล้านบาท คิดเป็น 49.20%
สำหรับปัจจัยหลักมาจากกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยลดลง เกิดจากกำไรจากการดำเนินงานของกิจการในประเทศไทยที่ลดลงจากปีก่อนจำนวน 3,010 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากระดับราคาเฉลี่ยของสินค้าเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายในประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่ระดับราคาเฉลี่ยของวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลจากการที่กิจการในต่างประเทศมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน1,550 ล้านบาท จากการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 42.4% และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากจาก 11.0% เป็น 16.9% ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในภาพรวมในปี 2550 อยู่ที่ระดับ 2.1% ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 3.5%
นอกจากนี้ ได้ชี้แจงถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อย และบริษัทร่วม ในงบการเงินเฉพาะกิจการจากวิธีส่วนได้ส่วนเสียเป็นวิธีราคาทุน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เพื่อให้สอดคล้องตามข้อกำหนดใหม่ของมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 44 และ 45 ซึ่งบริษัทได้ปรับปรุงย้อนหลังงบการเงินที่แสดงเปรียบเทียบด้วย
ทั้งนี้ จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชีเงินดังกล่าวส่งผลกระทบต่องบการเงินเฉพาะกิจการ ดังนี้ 1. กำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุนเฉพาะกิจการสำหรับงวดปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 มีจำนวนมากกว่ากำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุนรวม 9,502 ล้านบาท ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวเป็นผลมาจากรายการเงินปันผลรับจากบริษัทย่อยที่บันทึกเป็นรายได้เฉพาะในงบการเงินเฉพาะกิจการ โดยไม่รวมรายการส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามส่วนได้เสียซึ่งมีการรับรู้เฉพาะในงบการเงินรวม
2. รายการในงบดุลเฉพาะกิจการ ณ วันที่ 1 มกราคม 2550 มีรายการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญๆ คือ เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมลดลง 14,234 ล้านบาท สินทรัพย์รวมลดลง 14,039 ล้านบาท กำไรสะสมลดลง 13,763 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นลด 14,039 ล้านบาท
"การเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติทางบัญชีในการรับรู้เงินลงทุนในบริษัทย่อย และบริษัทร่วม ในงบการเงินเฉพาะกิจการเท่านั้น ไม่มีผลกระทบต่องบการเงินรวมของกลุ่มบริษัท หรือผลกระทบในเชิงการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด"
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด ประเมินผลการดำเนินงานปี 51 ว่า CPF จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 3,328 ล้านบาท จากราคาสินค้าในประเทศที่เพิ่มขึ้น รายได้จากธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งรับรู้กำไรจาก CPALL เพิ่มขึ้น ดังนั้นยังคงคำแนะนำ ซื้อ และคงมูลค่า Fair Price ที่ 5.75 บาท อิง P/E 13 เท่า
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 มีมติให้จ่ายเงินปันผลประจำปี 50 ในอัตราหุ้นละ 0.085 บาท สำหรับหุ้นสามัญจำนวน 7,519.94 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 639.19 ล้านบาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 3 เมษายน 2551 เวลา 12.00 น. และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2551
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการยังอนุมัติให้แก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิ ข้อ 3 วัตถุประสงค์ของบริษัทเพื่อเพิ่มการประกอบกิจการขึ้นอีก 8 ข้อ จากเดิม 23 ข้อเป็น 31 ข้อ เพื่อเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจที่ต่อเนื่องเพิ่มขึ้น อาทิ การประกอบกิจการรโรงงานผลิตสินค้าประเภทเนื้อสัตว์ป่น กระดูกสัตว์ป่น หรือผลิตภัณฑ์อื่นที่ คล้ายคลึงกัน เพื่อใช้เอง เพื่อการจำหน่าย เพื่อการรับจ้างผลิต หรือเพื่อการอื่นใด หรือประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ประเภทน้ำมันไบโอดีเซล รวมทั้งผลพลอยได้จากการผลิตน้ำมันดังกล่าว
รวมถึง การประกอบกิจการสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ประเภทน้ำมันไบโอดีเซล การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ทางบก ทางน้ำ และทางท่อหรือโดยวิธีอื่นใด เพื่อกิจการของตนเอง หรือเพื่อการรับจ้าง รวมทั้งการประกอบกิจการโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้า ไอน้ำร้อน และ/หรือแก๊สต่างๆ เพื่อใช้เอง เพื่อการจำหน่าย หรือเพื่อการอื่นใด รวมถึงการซื้อมาเพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าดังกล่าว เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มติคณะกรรมการที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลและการแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิดังกล่าว จะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น โดยบริษัทกำหนดจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2551 ในวันที่ 23 เมษายน 51 และกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นในการเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2551 ในวันที่ 3 เมษายน 51 เป็นต้นไป
ด้านผลการดำเนินงานประจำปี 2550 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิ 10,777.63 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.43 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,859.21 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.25 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 8,918.42 ล้านบาท คิดเป็น 479.69% ขณะที่กำไรสุทธิรวมบริษัทย่อยอยู่ที่ 1,275.13 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.18 บาท ลดลงจากปีก่อนที่กำไรสุทธิ 2,510.33 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.35 บาท ลดลง 1,235.20 ล้านบาท คิดเป็น 49.20%
สำหรับปัจจัยหลักมาจากกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยลดลง เกิดจากกำไรจากการดำเนินงานของกิจการในประเทศไทยที่ลดลงจากปีก่อนจำนวน 3,010 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากระดับราคาเฉลี่ยของสินค้าเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายในประเทศไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่ระดับราคาเฉลี่ยของวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผลจากการที่กิจการในต่างประเทศมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน1,550 ล้านบาท จากการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 42.4% และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากจาก 11.0% เป็น 16.9% ทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในภาพรวมในปี 2550 อยู่ที่ระดับ 2.1% ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 3.5%
นอกจากนี้ ได้ชี้แจงถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อย และบริษัทร่วม ในงบการเงินเฉพาะกิจการจากวิธีส่วนได้ส่วนเสียเป็นวิธีราคาทุน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เพื่อให้สอดคล้องตามข้อกำหนดใหม่ของมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 44 และ 45 ซึ่งบริษัทได้ปรับปรุงย้อนหลังงบการเงินที่แสดงเปรียบเทียบด้วย
ทั้งนี้ จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชีเงินดังกล่าวส่งผลกระทบต่องบการเงินเฉพาะกิจการ ดังนี้ 1. กำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุนเฉพาะกิจการสำหรับงวดปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 มีจำนวนมากกว่ากำไรสุทธิในงบกำไรขาดทุนรวม 9,502 ล้านบาท ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวเป็นผลมาจากรายการเงินปันผลรับจากบริษัทย่อยที่บันทึกเป็นรายได้เฉพาะในงบการเงินเฉพาะกิจการ โดยไม่รวมรายการส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามส่วนได้เสียซึ่งมีการรับรู้เฉพาะในงบการเงินรวม
2. รายการในงบดุลเฉพาะกิจการ ณ วันที่ 1 มกราคม 2550 มีรายการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญๆ คือ เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมลดลง 14,234 ล้านบาท สินทรัพย์รวมลดลง 14,039 ล้านบาท กำไรสะสมลดลง 13,763 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นลด 14,039 ล้านบาท
"การเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติทางบัญชีในการรับรู้เงินลงทุนในบริษัทย่อย และบริษัทร่วม ในงบการเงินเฉพาะกิจการเท่านั้น ไม่มีผลกระทบต่องบการเงินรวมของกลุ่มบริษัท หรือผลกระทบในเชิงการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด"
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด ประเมินผลการดำเนินงานปี 51 ว่า CPF จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 3,328 ล้านบาท จากราคาสินค้าในประเทศที่เพิ่มขึ้น รายได้จากธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มขึ้น รวมทั้งรับรู้กำไรจาก CPALL เพิ่มขึ้น ดังนั้นยังคงคำแนะนำ ซื้อ และคงมูลค่า Fair Price ที่ 5.75 บาท อิง P/E 13 เท่า