USC เผยคดีที่ถูกฟ้องกับ แอฟวะนิว เอเชีย แคปปิตอลพาร์ทเนอร์ส แอลพี ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน โดยขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย วงเงินเกิน 2 พันล้านบาท หากไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองและจำนำรวมทั้งทรัพย์สินอื่นของจำเลย ออกขายทอดตลาด พร้อมชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยศาลฯ นัดสืบพยานโจทก์ 9 เมษายน 2551
นายธาวัน เพ็ชรล่อเหลียน กรรมการ บริษัท ยูนิเวอร์แซล สตาร์ช จำกัด (มหาชน) ( USC) แจ้งให้ทราบว่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 พนักงานเดินหมายของศาลล้มละลายกลาง (ศาลฯ)ได้นำหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องในคดีของศาลฯ หมายเลขดำที่ พก.9/2550 ระหว่าง แอฟวะนิว เอเชีย แคปปิตอลพาร์ทเนอร์ส แอลพี ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน โจทก์ USC จำเลย ไปปิด ณ ที่ทำการของบริษัท
โดยโจทก์ในคดีดังกล่าวได้บรรยายฟ้องอ้างว่า จำเลยผิดนัดชำระหนี้ และขอให้ศาลฯบังคับให้จำเลย ชำระเงินให้แก่โจทก์ทั้งหกเป็นเงินเหรียญสหรัฐอเมริกา 51,827,437.26 เหรียญสหรัฐอเมริกา และเป็นเงินบาท 164,020,501.62 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ SIBOR+1.62+1.5 ต่อปี ของต้นเงิน 10,737,612.99 เหรียญสหรัฐอเมริกาและอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี ของต้นเงิน 36,747,573.02 เหรียญสหรัฐอเมริกา และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ MLR-1.35+1.5 ต่อปี ของต้นเงิน 33,602,172.97 บาท และอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี ของต้นเงิน 114,997,468.51 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยคิดเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,927,116,467.44 บาท (ไม่รวมดอกเบี้ย)
ทั้งนี้ หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองและจำนำรวมทั้งทรัพย์สินอื่นของจำเลย ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งหกจนครบถ้วน กับให้ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยศาลล้มละลายกลางได้นัดสืบพยานโจทก์ 9 เมษายน 2551
อนึ่ง เมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา USC ถูกฟ้องร้องคดีแจ้งความในหลายคดี ทั้งกับเจ้าหนี้แบงก์และบริษัทที่เข้าลงทุน และคิดเป็นมูลค่าความเสียหาย ที่ต้องชดใช้ร่วมพันล้านบาท
นายธาวัน เพ็ชรล่อเหลียน กรรมการ บริษัท ยูนิเวอร์แซล สตาร์ช จำกัด (มหาชน) ( USC) แจ้งให้ทราบว่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 พนักงานเดินหมายของศาลล้มละลายกลาง (ศาลฯ)ได้นำหมายเรียก และสำเนาคำฟ้องในคดีของศาลฯ หมายเลขดำที่ พก.9/2550 ระหว่าง แอฟวะนิว เอเชีย แคปปิตอลพาร์ทเนอร์ส แอลพี ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน โจทก์ USC จำเลย ไปปิด ณ ที่ทำการของบริษัท
โดยโจทก์ในคดีดังกล่าวได้บรรยายฟ้องอ้างว่า จำเลยผิดนัดชำระหนี้ และขอให้ศาลฯบังคับให้จำเลย ชำระเงินให้แก่โจทก์ทั้งหกเป็นเงินเหรียญสหรัฐอเมริกา 51,827,437.26 เหรียญสหรัฐอเมริกา และเป็นเงินบาท 164,020,501.62 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ SIBOR+1.62+1.5 ต่อปี ของต้นเงิน 10,737,612.99 เหรียญสหรัฐอเมริกาและอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี ของต้นเงิน 36,747,573.02 เหรียญสหรัฐอเมริกา และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ MLR-1.35+1.5 ต่อปี ของต้นเงิน 33,602,172.97 บาท และอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี ของต้นเงิน 114,997,468.51 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยคิดเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,927,116,467.44 บาท (ไม่รวมดอกเบี้ย)
ทั้งนี้ หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองและจำนำรวมทั้งทรัพย์สินอื่นของจำเลย ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งหกจนครบถ้วน กับให้ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยศาลล้มละลายกลางได้นัดสืบพยานโจทก์ 9 เมษายน 2551
อนึ่ง เมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา USC ถูกฟ้องร้องคดีแจ้งความในหลายคดี ทั้งกับเจ้าหนี้แบงก์และบริษัทที่เข้าลงทุน และคิดเป็นมูลค่าความเสียหาย ที่ต้องชดใช้ร่วมพันล้านบาท