xs
xsm
sm
md
lg

ขีดเส้นรัฐบาล 2 สัปดาห์แถลง ศก.กองทุนฝรั่งรอลงทุน-จี้เลิกมาตรการ 30%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลัง ระบุ กองทุนต่างชาติทั่วโลกให้เวลารัฐบาลใหม่ 2 สัปดาห์ แถลงความชัดเจนนโยบายเศรษฐกิจ ก่อนตัดสินใจเพิ่มพอร์ตการลงทุน ระบุ หากยกเลิกมาตรการ 30% จะยินดีเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในไทยมากขึ้น เผยผู้จัดการกองทุนสนใจเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจ บิ๊ก สศค.คาดขยายตัวได้ 5%

นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายระบบการเงิน สำนักนโยบายระบบการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30-31 มกราคม 2551 ที่ผ่านมา ได้เป็นตัวแทนจากภาครัฐเข้าร่วมประชุมในงาน a banking conference with Global Investors from Europe ซึ่งจัดโดย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อชี้แจงข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนของผู้จัดการกองทุนต่างๆ ที่มีพอร์ตการลงทุนในประเทศไทย โดยผู้จัดการกองทุนที่เข้าร่วมฟังการชี้แจงข้อมูล ประกอบไปด้วย Ms.Karen O’Mahony จาก BERCO ไอร์แลนด์ Mr.Edword Booth จาก Blackrock สหราชอาณาจักร Ms.Emily Fang จาก MFS Investment Management สิงคโปร์ Mr.Jeff Liu จาก Buena Vista Fund ฮ่องกง Ms.Joanna Kwok จาก JP Morgan Asset Management ฮ่องกง และ Mr.Amit Mehta จาก Pictet Asset Management สหราชอาณาจักร เป็นต้น

ซึ่งจากการชี้แจงข้อมูลในเบื้องต้น พบว่า สิ่งที่ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกัน คือจะให้โอกาสรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาในช่วง 2 สัปดาห์แรก ของการเข้ารับตำแหน่งเสนอนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนออกมาเพื่อจะได้นำนโยบายดังกล่าวไปศึกษาประกอบการพิจารณาเพิ่มสัดส่วนพอร์ตการลงทุนในประเทศไทยมากหรือน้อยลงเพียงใด

“เขาให้โอกาสรัฐบาลในช่วง 2 สัปดาห์แรก ว่า จะมีนโยบายเศรษฐกิจออกมารูปร่างหน้าตาอย่างไร นโยบายนั้นจะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติมากน้อยเพียงใด เพราะโดยพื้นฐานของประเทศไทยมีความน่าลงทุนอยู่แล้วหากนโยบายที่ออกมามีความชัดเจนก็พร้อมที่จะเพิ่มพอร์ตการลงทุนทันที โดยเฉพาะมาตรการกันสำรองเงินตราต่างประเทศ 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากสามารถยกเลิกได้ก็พร้อมที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน”

นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้วผู้จัดการกองทุนต่างประเทศยังสอบถามความชัดเจนถึงอัตราการขยายตัวทางเศษฐกิจในปีนี้ว่าจะอยู่ที่ระดับใด ซึ่งทาง สศค.เองได้ประเมินว่า น่าจะอยู่ในช่วง 4.5-5.0% ใกล้เคียงกับ ธปท.ที่ประมาณการไว้ที่ 4.0-6.0% ในขณะที่เป้าหมายเงินเฟ้อไม่น่าจะสูงมากอยู่ที่ 4.0% โดยเป็นผลมาจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและค่าพลังงานที่มีการปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ มีสาเหตุมาจากรัฐบาลตรึงราคาสินค้าไว้ในช่วงที่ผ่านมาและได้ปล่อยให้ราคาปรับขึ้นตามต้นทุนจริงไม่ใช่เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นมาจากความต้องการในตลาดสูงขึ้นเกินกว่าภาวะปกติ หรือจากการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์แต่อย่างใด ดังนั้น จึงได้ชี้แจงไปว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวไม่น่าเป็นห่วง และอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลสามารถควบคุมไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้

ในส่วนของการตั้งงบประมาณขาดดุลประมาณ 1.8-2.0% ของจีดีพีนั้น ได้ให้ชี้แจงว่า วงเงินขาดดุลดังกล่าวส่วนหนึ่งจะนำไปลงทุนในโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่โดยเฉพาะระบบขนส่งทางราง หรือเมกะโปรเจกต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของประเทศ

“สิ่งที่ต่างชาติต้องการทราบอีกประเด็น คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งยังไม่สามารถตอบได้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาว่าทีมเศรษฐกิจจะดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจอย่างไร ดูสภาวะในปัจจุบันว่ามีความเหมาะสม หรือมีความจำเป็นในการกระตุ้น เศรษฐกิจด้านใดบ้างทั้งทางด้านการคลัง และภาษี แม้กระทั่งการลดดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลเท่านั้น” นายโชติชัย กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น