พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมร่วม ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับภาคเอกชน ครั้งที่ 2 วันนี้ (17 ม.ค.) ว่า ได้มีการสรุปผลการทำงาน 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของภาคเอกชนเห็นว่า 1 ปีที่ผ่านมา การทำงานร่วมกันเป็นประโยชน์ บางเรื่องที่ยังไม่คืบหน้า ก็เริ่มที่จะมองเห็นเป็นรูปร่าง และจะช่วยกันสานต่อในอนาคตต่อไป ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รับเป็นศูนย์ประสานงานร่วมต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่วว่า ในช่วงรอยต่อทางการเมืองขณะนี้ ภาคเอกชนไม่ได้เป็นห่วงอะไร แต่เห็นว่าการลงทุนของภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ อาทิ รถไฟรางคู่ ระบบขนส่งทางราง ยังไม่บรรลุผลเท่าที่ควร สิ่งที่ภาคเอกชนมีความกังวลคือเรื่องของการขนส่ง เพราะน้ำมันราคาสูง ซึ่งอาจจะต้องส่งเสริมการขนส่ง ทั้งทางระบบรางและทางน้ำมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนการขนส่งและผลิตสินค้า ส่วนอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในไตรมาสที่ 4 สศช.ยังไม่ได้สรุป แต่ประเมินว่าน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.5-4.8
ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (18 ม.ค.) จะให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคใต้ เพื่อให้ทราบสถานการณ์ที่สมบูรณ์ ซึ่งในการประชุมวันนี้มีการพูดถึงสถานการณ์ภาคใต้ เนื่องจากภาคเอกชนมีความกังวล จึงได้ชี้แจงว่าการแก้ปัญหาต้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจ และยึดแนวทางสันติวิธี ยึดความเป็นธรรม เป็นพื้นฐาน เพราะปัญหาที่ยังมีอยู่ คือ การที่ชาวบ้านยังมีความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่ทำให้การแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่มีอะไรคืบหน้า อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะต้องใช้เวลา เพราะการสืบสวนสอบสวนบางเรื่อง ถ้าต้องการให้รูปคดีมีหลักฐานเพียงพอ ที่จะไปสู่กระบวนการยุติธรรมได้ ต้องใช้เวลา ซึ่งเรื่องนี้ตนก็รู้สึกหนักใจ แต่เมื่อได้พูดคุยแล้ว ทุกฝ่ายก็เข้าใจ
นายกรัฐมนตรี กล่วว่า ในช่วงรอยต่อทางการเมืองขณะนี้ ภาคเอกชนไม่ได้เป็นห่วงอะไร แต่เห็นว่าการลงทุนของภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ อาทิ รถไฟรางคู่ ระบบขนส่งทางราง ยังไม่บรรลุผลเท่าที่ควร สิ่งที่ภาคเอกชนมีความกังวลคือเรื่องของการขนส่ง เพราะน้ำมันราคาสูง ซึ่งอาจจะต้องส่งเสริมการขนส่ง ทั้งทางระบบรางและทางน้ำมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนการขนส่งและผลิตสินค้า ส่วนอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในไตรมาสที่ 4 สศช.ยังไม่ได้สรุป แต่ประเมินว่าน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.5-4.8
ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (18 ม.ค.) จะให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงเกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคใต้ เพื่อให้ทราบสถานการณ์ที่สมบูรณ์ ซึ่งในการประชุมวันนี้มีการพูดถึงสถานการณ์ภาคใต้ เนื่องจากภาคเอกชนมีความกังวล จึงได้ชี้แจงว่าการแก้ปัญหาต้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจ และยึดแนวทางสันติวิธี ยึดความเป็นธรรม เป็นพื้นฐาน เพราะปัญหาที่ยังมีอยู่ คือ การที่ชาวบ้านยังมีความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่ทำให้การแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่มีอะไรคืบหน้า อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะต้องใช้เวลา เพราะการสืบสวนสอบสวนบางเรื่อง ถ้าต้องการให้รูปคดีมีหลักฐานเพียงพอ ที่จะไปสู่กระบวนการยุติธรรมได้ ต้องใช้เวลา ซึ่งเรื่องนี้ตนก็รู้สึกหนักใจ แต่เมื่อได้พูดคุยแล้ว ทุกฝ่ายก็เข้าใจ