รายงานประชุมชี้ FED อิงภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัย เป็นเหตุผลในการลด ดบ. ขณะที่ราคาน้ำมัน กดดันภาวะเงินเฟ้อ
วันนี้(3 ม.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุม ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2550 ระบุว่า ภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัยและภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีกในการประชุมเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น
รายงานการประชุมของเฟดมีใจความโดยสรุปดังนี้ "ข้อมูลที่ เฟด รวบรวมได้ในที่ประชุมเดือน ธ.ค.บ่งชี้ว่า หลังจากที่เศรษฐกิจปรับตัวขึ้นในช่วงฤดูร้อนแล้ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 4 ส่วนการอุปโภคบริโภคชะลอตัวลง และความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.ยังปรับตัวลดลง เนื่องจากยอดสั่งซื้อเรือและยอดสั่งซื้อสินค้าประเภททุน ลดลง"
"อัตราจ้างงานชะลอตัวลงในระยะเวลา 4 เดือนซึ่งสิ้นสุด ณ เดือน พ.ย. ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะยอดขายบ้านใหม่ลดต่ำลงในไตรมาส 3 และยอดขายบ้านมือสองทรงตัวในเดือน ต.ค. หลังจากร่วงลงอย่างรุนแรงในเดือน ส.ค. และ ก.ย.ที่ผ่านมา"
"สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐชะลอตัวลงมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพรม์) และจากการที่สหรัฐประกาศเพิ่มกฎข้อบังคับในการปล่อยวงเงินกู้ประเภทจัมโบ้โลน (ลูกค้ารายใหญ่กู้เงินก้อนโต)"
"สถานการณ์ในตลาดการเงินย่ำแย่ลงแม้มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงปลายเดือน ก.ย.และ ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สถานการณ์ที่ถดถอยในตลาดการเงินและภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ ทำให้เฟดต้องใช้นโยบายการเงินอย่างรอบคอบ"
นอกจากนี้ คณะกรรมการเฟดรู้สึกกังวลว่าราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงตามมา
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการเฟดมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.25% ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในรอบ 3 เดือน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัยและภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 1.5% หรือต่ำกว่านั้น ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2550 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ที่ขยายตัวแข็งแกร่งถึง 4.9% ต่อปี
วันนี้(3 ม.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุม ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2550 ระบุว่า ภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัยและภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีกในการประชุมเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น
รายงานการประชุมของเฟดมีใจความโดยสรุปดังนี้ "ข้อมูลที่ เฟด รวบรวมได้ในที่ประชุมเดือน ธ.ค.บ่งชี้ว่า หลังจากที่เศรษฐกิจปรับตัวขึ้นในช่วงฤดูร้อนแล้ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัวลงในช่วงไตรมาสที่ 4 ส่วนการอุปโภคบริโภคชะลอตัวลง และความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.ยังปรับตัวลดลง เนื่องจากยอดสั่งซื้อเรือและยอดสั่งซื้อสินค้าประเภททุน ลดลง"
"อัตราจ้างงานชะลอตัวลงในระยะเวลา 4 เดือนซึ่งสิ้นสุด ณ เดือน พ.ย. ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะยอดขายบ้านใหม่ลดต่ำลงในไตรมาส 3 และยอดขายบ้านมือสองทรงตัวในเดือน ต.ค. หลังจากร่วงลงอย่างรุนแรงในเดือน ส.ค. และ ก.ย.ที่ผ่านมา"
"สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐชะลอตัวลงมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดปล่อยกู้จำนองให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ (ซับไพรม์) และจากการที่สหรัฐประกาศเพิ่มกฎข้อบังคับในการปล่อยวงเงินกู้ประเภทจัมโบ้โลน (ลูกค้ารายใหญ่กู้เงินก้อนโต)"
"สถานการณ์ในตลาดการเงินย่ำแย่ลงแม้มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงปลายเดือน ก.ย.และ ต.ค.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ สถานการณ์ที่ถดถอยในตลาดการเงินและภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ ทำให้เฟดต้องใช้นโยบายการเงินอย่างรอบคอบ"
นอกจากนี้ คณะกรรมการเฟดรู้สึกกังวลว่าราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงตามมา
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการเฟดมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยประเภทระยะสั้นลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.25% ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ในรอบ 3 เดือน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากภาวะตกต่ำในตลาดที่อยู่อาศัยและภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 1.5% หรือต่ำกว่านั้น ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2550 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ที่ขยายตัวแข็งแกร่งถึง 4.9% ต่อปี