คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
เมื่อกลางปี 2013 ผมเคยยื่นหนังสือต่อเลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยประกาศลงสมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคม แต่เหตุผลส่วนตัวเพียงเพื่อนำเอาสถานะของผู้ท้าชิงนั้นมาทำหนังสือถึง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ร้องเรียนให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายกสมาคมในยุคนั้น โดยคาดหวังว่าด้วยสถานะของผู้ท้าชิงที่มิใช่เพียงบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ฟีฟ่า จะให้ความสนใจในหนังสือดังกล่าว ไม่โยนทิ้งตะกร้าไปอย่างไม่แยแส ซึ่งคิดถูกทีเดียว ฟีฟ่า ตามติด
กาลต่อมา มีนายกสมาคมคนใหม่ที่อยู่ในอีกขั้วอำนาจหนึ่ง ซึ่งหลายคนต่างก็ฝากความหวังและเชื่อมั่นในความโปร่งใส ไปๆมาๆวันนี้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมจึงมีการก่อตัวกันเพื่อช่วงชิงการกุมบังเหียนสมาคม ขนาดเคยมีการนัดแนะกันที่เขาใหญ่ จะว่าเรื่องเงินทองที่มีการกำหนดเงินเดือนให้ตนเองจากสมาคมเดือนละ 5 แสนบาทและจากบริษัทไทยลีกอีก 5 แสนบาท รวมเดือนละ 1 ล้านบาท อุปนายกอีกคนที่ดูแลเรื่องบัญชีก็มีรายได้จากสมาคมเดือนละ 2 แสนบาท จากบริษัทไทยลีกอีกเดือนละ 2 แสนบาท รวมเป็น 4 แสนบาท ตลอดจน เรื่องเงินอื่นๆที่ไม่ได้โปร่งใส 100% นั่นก็ยังเป็นเรื่องเล็กที่บรรดาสมาชิกต่างก็ยอมรับในที่ประชุมสามัญประจำปีไปแล้ว คงไม่ใช่สาเหตุสำคัญ
ผมได้ยินอยู่เรื่องหนึ่งที่อาจเป็นสาเหตุคือหลายฝ่ายเริ่มไม่พอใจที่ขาใหญ่เข้ามาครอบงำสมาคม ซึ่งย่อมรวมถึงทิศทางของการบริหารจัดการ การจัดการแข่งขัน อันมีผลให้ความยุติธรรมและผลประโยชน์สูงสุดต่อวงการฟุตบอลของไทยอยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม เท่าที่เห็นหลายคนมีสปีริทสูงมาก ไม่มีใครคิดหันหลังให้พวกกันเองที่ร่วมต่อสู้กันมาหรอก แต่เหตุใหญ่ในจังหวะนี้เผอิญเหลือเกินที่ นายกสมาคม ดันถูกเปิดเผยว่ามีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นตัวการสำคัญกับเรื่องทุจริตบิดผันคดีใหญ่โตที่ลูกชายตระกูลเครื่องดื่มชูกำลังเมาเหล้าเมายาขับรถชนตำรวจตายแล้วหลบหนี จนมีคำสั่งไม่ฟ้อง และบางข้อหาหมดอายุความ
โดยผลการสอบสวนของ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา มีการเปิดเผยบทสนทนาจากการถอดข้อความเท้ปบันทึกเสียง “อัยการ-บิ๊กตำรวจ” ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในการเปลี่ยนแปลงความเร็วของรถแฟรรารี่คันก่อเหตุ ที่ได้ส่งมอบให้นายกรัฐมนตรีนั้นมันเป็นเรื่องที่ประชาชนรับรู้กันทั่วประเทศแล้วด้วยว่า นายกสมาคมฯ เป็นตัวละครสำคัญในการทำเรื่องฉ้อฉลจึงอาจมีอนาคตในตำแหน่งที่ไม่ยืดยาวเสียแล้ว
ในข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์มีส่วนหนึ่งกำหนดไว้ว่า นายกสมาคมอาจพ้นจากตำแหน่งได้ ด้วยการลาออก หรือ ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดในประการที่น่าจะนำความเสื่อมเสียมาสู่การกีฬาของชาติไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม และที่ประชุมใหญ่มีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่งด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า ¾ ของจำนวนสมาชิกที่มีสิทธิออกเสียงและอยู่ในที่ประชุม
ถ้าจะมองว่า การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับวงการกีฬา มันก็จะโต้แย้งได้ว่า คนประเภทนี้เป็นผู้กระทำทุจริตใช้อำนาจบิดผันความถูกต้องของกฎหมายบ้านเมืองอย่างร้ายกาจทีเดียว ผลลัพธ์ที่ได้คือ ความเหลื่อมล้ำ พิกลพิการของกระบวนการยุติธรรมที่เป็นปัญหาใหญ่ในสังคมไทยนี่ไง เป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องประสพ และต้องร่วมกันต่อสู้กับอธรรม อย่าให้โจรครองเมือง ซึ่งวันนี้ โจรดันใส่สูทหล่อเนี้ยบนั่งครองเมืองเห็นๆ
ผมเชื่อมั่นในพระราชดำรัสในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้ ประชาชนทั่วประเทศได้รับรู้เรื่องมัวหมองที่ถูกก่อขึ้นแล้ว แม้นายกรัฐมนตรีจะกล้าสั่งการหรือไม่นั้น ไม่ต้องคำนึงแล้ว หากเป็นผม ผมคงประกาศลาออกเอง แล้วปล่อยให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมากุมบังเหียน ดีกว่าต้องถูกถอดถอน หรือบางทีอาจถึงต้องให้ใครส่งหนังสือไปร้องเรียน ฟีฟ่า เรื่องเบื้องหลังทุจริตที่ทำให้วงการเสื่อมเสียอีกก็ได้ ซึ่งในกรณีที่นายกสมาคมลาออกเอง หรือพ้นจากตำแหน่งเพราะถูกถอดถอน สภากรรมการก็ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วย คงมีเพียงสำนักเลขาธิการดำเนินกิจการทั้งปวงของสมาคมไปพลางก่อน รวมทั้งจัดการเลือกตั้งภายใน 90 วันครับ