ผู้จัดการรายวัน 360 – เป็นธรรมดาของวัฏจักรฟุตบอลเมื่อเข้าสู่บั้นปลายอาชีพ พ่อค้าแข้งหลายรายมักเลือกที่จะต่อยอดสู่การเป็นสตาฟฟ์โค้ช ซึ่งปัจจุบันในวงการลูกหนังไทยมี 2 สตาร์ตัวเก๋าที่ประสบความสำเร็จบนสังเวียนมาอย่างโชกโชน เพิ่งเปลี่ยนสถานะจาก “ยอดแข้ง” มารับหน้าที่กุนซือ นั่นก็คือ เทิดศักดิ์ ใจมั่น และ รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค โดยทั้งคู่มีภารกิจเดียวกันคือกอบกู้สถานการณ์ที่กำลังวิกฤตของต้นสังกัดให้กลับมาผงาดอีกครั้ง แน่นอนว่าในปี 2016 เราจะได้เห็นกันว่าทั้งคู่จะก้าวไปในทิศทางนี้ได้ดีแค่ไหน
เทิดศักดิ์ ใจมั่น เพลย์เมกเกอร์วัย 42 กะรัต เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้นั่งแท่น ผู้จัดการทีมชลบุรี เอฟซี สู้ศึกฤดูกาลหน้า โดยเจ้าตัวเผยถึงการตัดสินใจขึ้นมาคุมทีมเต็มตัวครั้งนี้ว่า “ผู้บริหารมองว่าจำเป็นต้องให้ผมมาทำหน้าที่นี้ น่าจะถึงเวลาแล้วที่ให้ขึ้นมาทำทีม เพราะคลุกคลีกับฟุตบอลมานาน ถ้าถามว่าพร้อมไหม บอกคำเดียวว่าต้องพร้อม เพราะเป็นงานที่ท้าทาย ถึงเวลาก็ต้องจับ ของแบบนี้มันรอไม่ได้ อาจจะจับผิดจับถูก แต่มันก็ต้องเริ่ม”
พร้อมกันนี้ “น้าเทิด” มั่นใจว่าประสบการณ์ของตนตลอด 6 ปี ในถิ่นชลบุรี สเตเดียม และการเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนมา 3 ปี (2013-2015) พร้อมผ่านการทำงานร่วมกับยอดโค้ชอย่าง “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล, มาซาฮิโร วาดะ และ จเด็จ มีลาภ คือจุดเด่นของตนเองในบทบาทใหม่ “ผมอยู่กับทีมมานาน รู้ว่าเด็กแต่ละคนเป็นอย่างไร นักฟุตบอลไทยส่วนใหญ่มีความเซนซิทีฟสูง เราจึงต้องเข้าใจในตัวเขา การที่ผมเคยเป็นผู้เล่นมาก่อนจึงรู้ดี เราต้องอาศัยการพูดคุย ใช้พระเดชพระคุณคุยกับเขาหากมีปัญหา แต่ผมต้องมีจุดยืนของผมด้วย ต้องมีกรอบ อันดับแรกเด็กต้องมีวินัยในการฝึกซ้อม พยายามให้เล่นได้ตามแทคติกที่วางไว้ ผมมั่นใจว่าผมสามารถกระตุ้นนักเตะได้ และผมอยากให้ดูผมเป็นตัวอย่างว่าทำไมสามารถเล่นได้ถึงอายุขนาดนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของการเล่นฟุตบอลก็คือต้องเล่นด้วยความคิด ถ้าไม่คิดแล้วใช้แต่กำลังก็ไม่สามารถเล่นได้นาน อายุถึง 30 ปีก็ต้องจบแล้ว”
ส่วนการวางหมากแก้เกมนั้น กองกลางดีกรีนักเตะยอดเยี่ยม เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2003 กล่าวว่าไร้ปัญหาเช่นกัน พร้อมเผยว่าในฤดูกาลหน้า “ฉลามชล” จะกลายเป็นทีมที่เล่นได้ดุดันกว่าเดิม “ผมเก็บสิ่งดีๆจากโค้ชทุกคนมา เช่นการจัดตัวผู้เล่นอย่างไรให้เหมาะสม โดยเฉพาะจากพี่เฮง ซึ่งเป็นคนที่วางระบบได้เก่งมากๆ ผมสามารถเรียนรู้กับเขา ขอคำแนะนำจากเขาได้ตลอดเวลา เรามีอะไรก็จะปรึกษากัน แต่ผมก็มีสไตล์ของผม ต้องการให้ทีมมีการเล่นฟุตบอลที่สนุก และสวยงามด้วย ที่สำคัญนักฟุตบอลต้องมีจินตนาการมากที่สุดในการเล่น ชลบุรีในปีหน้าจะเล่นได้ดุดันขึ้น มีความฟิตมากขึ้น และนักฟุตบอลต้องมีกล้ามเนื้อที่ดีขึ้นด้วย ส่วนผลแพ้ชนะคืออีกเรื่อง ผมมีระบบการเล่นในใจอยู่แล้ว 2 ระบบ คือ 4-4-2 กับ 4-3-3 สามารถเปลี่ยนไปมาได้แล้วแต่เกม ซึ่งแน่นอนว่าเกมในบ้านเราต้องเปิดเกมรุกเข้าใส่อย่างเดียว ส่วนการเล่นนอกบ้านนั้นต้องศึกษาดูว่าเจอคู่แข่งแบบไหน”
อย่างไรก็ตามงานแรกของ เทิดศักดิ์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต้องเข้ามารับเผือกร้อน คุมทีมในช่วงวิกฤต หลังจบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 ซึ่งนับเป็นการหลุดจากท็อป 3 เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี รวมถึงต้องเสียแข้งตัวหลักออกไปหลายคน โดยเจ้าตัวยังมั่นใจว่าจะใช้เวลาปรับตัวไม่นาน “ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนถ่ายนักเตะ แม้ทีมจะขายผู้เล่นออกไปหลายคน แต่ฟุตบอลต้องอยู่ได้ด้วยระบบ ช่วงแรกอาจจะติดขัดอยู่บ้าง แต่ไม่นานระบบจะช่วยให้นักบอลเริ่มเข้าใจเกมมากขึ้นโดยไม่จำเป็นว่านักบอลต้องเก่ง ผมเชื่อว่าชลบุรีจะใช้เวลาปรับตัวไม่นาน เรามีเด็กที่เข้าใจเกมจากอะคาเดมีอยู่เยอะ ปีหน้าจะดันขึ้นมาผสมกับตัวต่างชาติและตัวหลักที่มีอยู่ พอเขาเข้าใจระบบ คนอื่นที่เข้ามาใหม่ก็จะเข้าใจตาม สิ่งสำคัญคือทีมต้องเล่นให้ได้ตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ก่อน”
โดยภารกิจแรกของกุนซือป้ายแดงรายนี้ คือการประเดิมคุมทีมสู้ศึก เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2016 รอบเพลย์ออฟ รอบสอง เปิดรังพบ ย่างกุ้ง ยูไนเต็ด แชมป์ลีกจากเมียนมาร์ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปีหน้า แต่ทว่ายังมีปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ “อย่างแรกเลยต้องซื้อกองกลางตัวรับ เพราะตอนนี้ในทีมไม่มีเลย คงต้องหาตัวต่างชาติที่เก่งๆ เหมือนเมื่อก่อนที่มี คาซูโตะ คูชิดะ มาร่วมทีม ส่วนกองหน้าที่จะมาแทน ติอาโก คุนญา นั้นมีอยู่ในใจแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องวางแผนเล่น เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ซึ่งเรามีเวลาเตรียมทีมเพียง 3-4 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นงานใหญ่ว่าจะทำอย่างไรให้ผู้เล่นกลับมาฟิตพร้อมแข่งขัน รวมถึงผู้เล่นใหม่ที่ต้องมาปรับตัวเข้ากับระบบทีม ส่วนตัวผมเองจะใส่ชื่อเป็นผู้เล่นด้วยเผื่อเวลาฉุกเฉิน ซึ่งงานโค้ชครั้งนี้ท้าทายมาก ผมหวังอยู่แล้วว่าอยากได้แชมป์สักรายการ แต่จะเป็นอย่างไรนั้นอีกเรื่อง สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องการเห็นคือแนวทางการเล่นที่ดีขึ้น” เทิดศักดิ์ ทิ้งท้าย
ขณะเดียวกันนอกจาก “น้าเทิด” แล้ว ยังมีแข้งอีกรายที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันและได้เริ่มชิมลางการเป็นโค้ชมาก่อนหน้าแล้ว คือ รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค กัปตันทีม บีอีซี เทโรศาสน ที่ถูกดันขึ้นช่วยแก้วิกฤตทีมในฐานะกุนซือขัดตาทัพ รวม 6 นัด ผลงาน ชนะ 2 เสมอ 2 แพ้ 2 โดย มิดฟิลด์วัย 36 ปีรายนี้ นับเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลไทย เคยคว้าแชมป์ ไทย พรีเมียร์ ลีก มาแล้ว 5 สมัย กับ บีอีซี เทโรฯ ปี 2000 ธนาคารกรุงไทย ปี 2002/2003, 2003/2004 การไฟฟ้า ปี 2008 และบุรีรัมย์ พีอีเอ ปี 2011 รวมถึงแชมป์ เอฟเอ คัพ กับ “ปราสาทสายฟ้า” ปี 2011 และแชมป์ ลีก คัพ กับ “มังกรไฟ” ปี 2014
รังสรรค์ กล่าวถึงงานบทบาทใหม่ของตนว่า “งานโค้ชมีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างจากเดิม รายละเอียดงานมากขึ้น มีอะไรให้คิดเยอะ ทั้งโปรแกรมฝึกซ้อม และยังต้องดูแลน้องๆเพิ่มขึ้นต่างจากการเป็นกัปตันทีม แต่ก็สนุกและมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ซึ่งผมมองว่าเป็นความโชคดีที่นักบอลเปิดกว้างที่จะทำงานร่วมกัน และยังสู้แม้อยู่ในสถานการณ์วิกฤต ผมตั้งใจว่าต้นปีหน้าจะเริ่มเรียนโค้ชระดับ ซี-ไลเซนต์ อย่างจริงจัง ถ้าแขวนสตั๊ดเมื่อไหร่ก็คงจะเริ่มงานด้านนี้แน่นอน”
อย่างไรก็ตามในช่วงที่อนาคตของต้นสังกัดยังไม่แน่นอนว่าฤดูกาลหน้าจะได้เล่นบนลีกสูงสุดต่อ หรือต้องไปเล่นในยามาฮ่า ลีก วัน (ดิวิชั่น 1) เนื่องจากยังมีคดีฟ้องร้องต่อศาลเพื่อหวัง 3 แต้มพิเศษฟื้นคืนชีพ ตัว “กัปตันอ้น” เองก็ยังไม่การันตีเช่นกันว่าจะคุมทีมถาวรเลยหรือไม่ “อนาคตทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับคุณไบรอัน มาคาร์ ประธานสโมสรฯเป็นคนตัดสินใจว่าจะให้ผมคุมทีมต่อหรือไม่ เพราะผมยังมีสัญญากับทีมในฐานะผู้เล่นอีก 1 ปี”
ทั้งนี้หากได้รับมอบหมาย กองกลางดีกรีทีมชาติไทยรายนี้ก็ได้เริ่มวางแผนไว้แล้วเช่นกัน “ตอนนี้ไม่ว่าใครจะเล่นระดับไหนหรือใครจะมาคุมก็ต้องกดดันอยู่แล้ว หากผมได้ทำต่อ แน่นอนว่ามีปัญหาที่ต้องแก้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เยอะ อาจจะมีนักเตะไทยเพิ่ม 2-3 คนในบางตำแหน่ง รวมถึงนักเตะต่างชาติที่เกรดดีกว่าเดิมสัก 4 ตำแหน่ง เพราะเลกสองที่ผ่านมาเรามีผู้เล่นต่างชาติลงสนามนัดละ 1-2 คนเท่านั้น ผมเชื่อว่าตอนนี้นักเตะไทยทุกคนโตขี้น มีประสบการณ์ที่แย่ที่สุดมาแล้ว ซึ่งจะทำให้ทุกคนมีความรับผิดชอบและเป็นมืออาชีพมากขึ้น ผมมั่นใจว่าทีมจะไม่เจอกับสถานการณ์แบบนี้อีก จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของสโมสร”
“สำหรับผมการทำทีมขอเพียงให้มีบรรยากาศที่ดี ทุกคนสนุกสนาน อยากมาซ้อม มาเฮฮาร่วมกันทุกวัน ผมมองว่าทำได้เท่านี้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว ส่วนการเล่นในสนามนั้นขึ้นอยู่กับสไตล์ของโค้ชแต่ละคน ผมชอบเน้นการครองบอลที่เหนียวแน่น และเล่นเกมเพรสซิงได้สนุก ไม่ใช่ได้บอลแล้วโยนโด่งไปมา” รังสรรค์ ทิ้งท้าย