คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วสำหรับการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยเป็นฝั่งผู้ท้าชิงอย่าง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่รุกคืบเดินเกมต่อเนื่อง และประกาศก้องว่า “ผมมาจับโจร” ที่ขโมยทรัพย์สินของสมาคมไป!
หลังจากประกาศตัวท้าชิงเก้าอี้นายใหญ่ลูกหนังไทยอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก็เดินหน้าหาเสียงอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปลี่ยนสถานที่จัดงานไม่ซ้ำเดิม ไล่ตั้งแต่ ที่บ้านพักย่านถนนประดิษฐมนูธรรม, โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ (ซอยรางน้ำ) และล่าสุดสดๆร้อนๆที่โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ (รัชดา) ท่ามกลางสโมสรสมาชิกทั้ง 3 ลีกที่ตบเท้าร่วมรับฟังการแถลงอย่างคับคั่ง
นโยบายหลักๆที่มองแล้วดูน่าสนับสนุนคงหนีไม่พ้นการเปิดโอกาสให้ 18 ทีมบนลีกสูงสุดได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัท ไทย พรีเมียร์ ลีก จำกัด (ทีพีแอล) ฝ่ายจัดการแข่งขัน เช่นเดียวกับในส่วนของ ยามาฮ่า ลีก วัน (ดิวิชั่น 1) และ ลีก ภูมิภาค (ดิวิชั่น 2) นั่นหมายความว่าผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงจะได้เข้ามาร่วม มีอำนาจบริหารงานด้านต่างๆด้วยตนเองทั้ง ระบบการจัดการ การเงิน โปรแกรม ฯลฯ ต่างจากปัจจุบันที่มี วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฯ และพวกเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการมอบเงินอุดหนุนค่าเดินทางเมื่อต้องเป็นทีมเยือนให้ ดิวิชั่น 1 นัดละ 100,000 บาท และดิวิชั่น 2 นัดละ 50,000 บาท ซึ่งถือเป็นท่อน้ำเลี้ยงชั้นดี ช่วยแบ่งเบาภาระของทีมได้เยอะ คิดดูว่าทีมในดิวิชั่น 1 หากแต่ละทีมต้องเล่นเกมเยือน 17 นัดต่อฤดูกาล ก็ประหยัดไปได้แล้วทีมละ 1.7 ล้านบาท ส่วนโยบายอื่นๆอาทิ เงินส่วนแบ่งจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด หรือวิธีแก้ปัญหาผู้ตัดสินด้วยการดึงเจ้าหน้าที่จากเอเอฟซีมาช่วย ดูแล้วยังไม่เหนือกว่าเจ้าเดิมสักเท่าไหร่
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ “บิ๊กอ๊อด” พยายามเน้นมากที่สุดคือความไม่โปร่งใสของผู้บริหารชุดก่อน ที่ตนเชื่อว่ามีลับลมคมในอยู่ในมุ้งโดยเฉพาะด้านการเงิน ซึ่งผมได้มีโอกาสกระทุ้งถามเจ้าตัวไปด้วยความไคร่รู้ว่าหากได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมคนใหม่จริง จะปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วของผู้บริหารเก่าให้ผ่านไปเหมือนที่ผู้ท้าชิงรายอื่นๆเลือกทำ หรือจะสาวไส้รื้อพรมว่ามีอะไรซ่อนอยู่
อดีตนายตำรวจใหญ่ ลั่นวาจาอย่างดุดันว่า “ผมเป็นตำรวจมาจับโจร ใครขโมยสมบัติของประเทศชาติไป จะไปตามเอาคืนเพื่อรักษาสิทธิ์ของสโมสร” ดังนั้นเชื่อเหอะว่าหากใครทำผิดแล้วได้ยินคำนี้เข้าไปคงต้องหนาวๆร้อนๆมั่งแหละ เพราะดูแล้วเจ้าตัวเอาจริงแน่นอน หลังจากที่กล้าเปิดหน้าชนอย่างโจ๋งครึ่มขนาดนี้
นอกจากนี้หลังจากได้สนทนาร่วมกันพอสมควร ผมยังมีความเชื่อว่าหาก อดีต ผบ.ตร. ผู้เคยคิดผลักดันให้มีบ่อนคาสิโนเสรี รายนี้ได้คุมบังเหียนลูกหนังไทยจริงๆ ในอนาคตบ้านเรามีโอกาสสูงที่จะมีโต๊ะรับแทงพนันฟุตบอลถูกกฎหมายขึ้นมาเฉกเช่นต่างประเทศ แต่จะควบคุมหรือมีวิธีกำหนดกรอบอย่างไรนั้นต้องมาว่ากันอีกที
ส่วนเรื่องคะแนนเสียงที่ยังวุ่นวายในส่วนของ 30 เสียงโหวตจากดิวิชั่น 2 นั้น แม้ พล.ต.อ.สมยศ จะยังมองว่าเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกลางจัดการเลือกตั้งฯ โดยตนรอเพียงวันเปิดรับสมัครและกติกาเท่านั้น พร้อมที่จะสู้ทุกเวทีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการย่ามใจไปหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาแม้แต่ผู้สนับสนุนฝั่งเดียวกันยังเชื่อว่าหากยึด 30 เสียงเดิมโดยไม่มีการเลือกใหม่ นายตำรวจรายนี้อาจเพลี่ยงพล้ำเมื่อถึงหน้างานก็เป็นได้
ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วสำหรับการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยเป็นฝั่งผู้ท้าชิงอย่าง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่รุกคืบเดินเกมต่อเนื่อง และประกาศก้องว่า “ผมมาจับโจร” ที่ขโมยทรัพย์สินของสมาคมไป!
หลังจากประกาศตัวท้าชิงเก้าอี้นายใหญ่ลูกหนังไทยอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก็เดินหน้าหาเสียงอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปลี่ยนสถานที่จัดงานไม่ซ้ำเดิม ไล่ตั้งแต่ ที่บ้านพักย่านถนนประดิษฐมนูธรรม, โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ (ซอยรางน้ำ) และล่าสุดสดๆร้อนๆที่โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ (รัชดา) ท่ามกลางสโมสรสมาชิกทั้ง 3 ลีกที่ตบเท้าร่วมรับฟังการแถลงอย่างคับคั่ง
นโยบายหลักๆที่มองแล้วดูน่าสนับสนุนคงหนีไม่พ้นการเปิดโอกาสให้ 18 ทีมบนลีกสูงสุดได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัท ไทย พรีเมียร์ ลีก จำกัด (ทีพีแอล) ฝ่ายจัดการแข่งขัน เช่นเดียวกับในส่วนของ ยามาฮ่า ลีก วัน (ดิวิชั่น 1) และ ลีก ภูมิภาค (ดิวิชั่น 2) นั่นหมายความว่าผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงจะได้เข้ามาร่วม มีอำนาจบริหารงานด้านต่างๆด้วยตนเองทั้ง ระบบการจัดการ การเงิน โปรแกรม ฯลฯ ต่างจากปัจจุบันที่มี วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฯ และพวกเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการมอบเงินอุดหนุนค่าเดินทางเมื่อต้องเป็นทีมเยือนให้ ดิวิชั่น 1 นัดละ 100,000 บาท และดิวิชั่น 2 นัดละ 50,000 บาท ซึ่งถือเป็นท่อน้ำเลี้ยงชั้นดี ช่วยแบ่งเบาภาระของทีมได้เยอะ คิดดูว่าทีมในดิวิชั่น 1 หากแต่ละทีมต้องเล่นเกมเยือน 17 นัดต่อฤดูกาล ก็ประหยัดไปได้แล้วทีมละ 1.7 ล้านบาท ส่วนโยบายอื่นๆอาทิ เงินส่วนแบ่งจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด หรือวิธีแก้ปัญหาผู้ตัดสินด้วยการดึงเจ้าหน้าที่จากเอเอฟซีมาช่วย ดูแล้วยังไม่เหนือกว่าเจ้าเดิมสักเท่าไหร่
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ “บิ๊กอ๊อด” พยายามเน้นมากที่สุดคือความไม่โปร่งใสของผู้บริหารชุดก่อน ที่ตนเชื่อว่ามีลับลมคมในอยู่ในมุ้งโดยเฉพาะด้านการเงิน ซึ่งผมได้มีโอกาสกระทุ้งถามเจ้าตัวไปด้วยความไคร่รู้ว่าหากได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมคนใหม่จริง จะปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วของผู้บริหารเก่าให้ผ่านไปเหมือนที่ผู้ท้าชิงรายอื่นๆเลือกทำ หรือจะสาวไส้รื้อพรมว่ามีอะไรซ่อนอยู่
อดีตนายตำรวจใหญ่ ลั่นวาจาอย่างดุดันว่า “ผมเป็นตำรวจมาจับโจร ใครขโมยสมบัติของประเทศชาติไป จะไปตามเอาคืนเพื่อรักษาสิทธิ์ของสโมสร” ดังนั้นเชื่อเหอะว่าหากใครทำผิดแล้วได้ยินคำนี้เข้าไปคงต้องหนาวๆร้อนๆมั่งแหละ เพราะดูแล้วเจ้าตัวเอาจริงแน่นอน หลังจากที่กล้าเปิดหน้าชนอย่างโจ๋งครึ่มขนาดนี้
นอกจากนี้หลังจากได้สนทนาร่วมกันพอสมควร ผมยังมีความเชื่อว่าหาก อดีต ผบ.ตร. ผู้เคยคิดผลักดันให้มีบ่อนคาสิโนเสรี รายนี้ได้คุมบังเหียนลูกหนังไทยจริงๆ ในอนาคตบ้านเรามีโอกาสสูงที่จะมีโต๊ะรับแทงพนันฟุตบอลถูกกฎหมายขึ้นมาเฉกเช่นต่างประเทศ แต่จะควบคุมหรือมีวิธีกำหนดกรอบอย่างไรนั้นต้องมาว่ากันอีกที
ส่วนเรื่องคะแนนเสียงที่ยังวุ่นวายในส่วนของ 30 เสียงโหวตจากดิวิชั่น 2 นั้น แม้ พล.ต.อ.สมยศ จะยังมองว่าเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการกลางจัดการเลือกตั้งฯ โดยตนรอเพียงวันเปิดรับสมัครและกติกาเท่านั้น พร้อมที่จะสู้ทุกเวทีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการย่ามใจไปหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาแม้แต่ผู้สนับสนุนฝั่งเดียวกันยังเชื่อว่าหากยึด 30 เสียงเดิมโดยไม่มีการเลือกใหม่ นายตำรวจรายนี้อาจเพลี่ยงพล้ำเมื่อถึงหน้างานก็เป็นได้