ซัมเมอร์ เอฟเฟ็คต์ “เชลซี” อาการหนักสุด

เอเยนซี - อาการยังไม่ดีขึ้นสำหรับ เชลซี หลังจากเมื่อวันอังคารที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา บุกพ่าย เอฟซี ปอร์โต 1-2 ถึงถิ่น เอสตาดิโอ ดราเกา ประเทศโปรตุเกส ศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก นัด 2 กลุ่ม จี จึงตามมาสู่คำถามที่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสโมสรที่มีดีกรีดับเบิลแชมป์แห่งอังกฤษเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งน่าจะเป็น “ซัมเมอร์ เอฟเฟ็คต์” ที่หลายทีมโดนกันระนาวหนักน้อยแตกต่างกันไป

ฤดูกาลนี้ผ่านพ้นไป 10 นัดรวมทุกรายการ (ไม่นับ เอฟเอ คอมมูนิตี ชิลด์ ที่แพ้ อาร์เซนอล 0-1) ผลงานของ เชลซี ชนะ 4 เสมอ 2 แพ้ 4 นัด ล่าสุด มูรินโญ นำทัพไปเยือนสโมสรเก่า ปอร์โต ที่เคยคุมเป็นแชมป์ยุโรปเมื่อปี 2004 ก่อนถูกสอยร่วงแพ้ 1-2 โดยได้ประตูจากฟรีคิกสุดสวยของ วิลเลียน นาที 45+2 ส่วนเจ้าถิ่นได้จาก อังเดร อังเดร นาที 39 กับ ไมคอน นาที 52 วันเดียวกัน กลุ่ม เอฟ อาร์เซนอล อีกหนึ่งตัวแทนจากอังกฤษร่อแร่ไม่แพ้กันพ่ายคาบ้านแก่ โอลิมเปียกอส 2-3 ทำให้ 2 นัดผ่านรั้งบ๊วยไม่มีแต้ม

เกมนี้ เชลซี เปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นพัก เอเดน ฮาซาร์ด เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียม กับ เนมานยา มาติช กองกลางเซิร์บ ไว้ที่ม้านั่งสำรอง มูรินโญ นายใหญ่ชาวโปรตุเกส กล่าวภายหลังว่า “ผมไม่รู้จักคำว่าไร้เทียมทาน แต่ถ้าหมายถึงความสม่ำเสมอ เราเล่นกันไม่คงเส้นคงวาเลย ดังนั้นเมื่อทีมไม่แข็งแกร่งก็จำต้องเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่น”

เชลซี ถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงเกมรับที่เสียประตูเป็นว่าเล่น โดยเกมนี้ตำแหน่งแบ็กโฟร์เป็น บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, เคิร์ต ซูมา, แกรี เคฮิลล์ และ เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา โดยเฉพาะแบ็กขวาที่ปล่อยให้เจาะจนเสียประตูแรก ซึ่ง มูรินโญ เผยต่อว่า “บางครั้งคุณพลาด แต่ไม่ถูกลงโทษ แต่วันนี้ตรงกันข้าม ยากจะวิเคราะห์เกี่ยวกับรูปเกม เพราะสกอร์ไม่ได้หมายความว่าคุณเล่นแย่ เพียงแค่เราไม่ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ ดังนั้นต้องกลับไปหาจุดที่ลงตัว”

สถานการณ์ แชมเปียนส์ ลีก ของ เชลซี ไม่น่าเป็นห่วง เพราะตอนนี้มี 3 แต้มจาก 2 นัดตามหลัง ดินาโม เคียฟ กับ ปอร์โต ที่มี 4 แต้มเท่ากัน ส่วนบ๊วยกลุ่มคือ มัคคาบี เทล อาวีฟ แพ้รวด แต่ที่น่ากังวลคือ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ มากกว่า โดยมีแค่ 8 แต้มจาก 7 นัดตามจ่าฝูง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 8 แต้ม

8 แต้มของ เชลซี ที่มีตอนนี้ถือว่าเป็นการออกสตาร์ทเลวร้ายที่สุดในยุค โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซียเข้ามาเป็นเจ้าของถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยแย่กว่าคือฤดูกาล 2007-08 ที่ มูรินโญ คุมทัพเช่นกัน ก่อนถูกไล่ออกกลางเดือนกันยายนแล้วเป็น อัฟราม แกรนท์ เข้ามาดูแทน เลวร้ายกว่านี้คือฤดูกาล 2000-01 คือมีแค่ 7 แต้ม

เกมรับ เชลซี ที่เคยเหนียวแน่นฤดูกาลที่แล้วที่เป็นแชมป์ 38 นัดเสียแค่ 32 ลูก แต่ตอนนี้ถูกเจาะไปแล้ว 14 ลูก ถือว่าปรัชญาการทำทีมของ มูรินโญ ที่คือเน้นเหนียวแน่นเอาไว้ก่อนไม่สนใครจะว่า "บอริง ฟุตบอล" ใช้ไม่ได้ผล คนที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาก็คือ จอห์น เทอร์รี เซนเตอร์ฮาล์ฟวัย 34 ปีที่หลุดไปนั่งสำรองเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้แนวรุกอย่าง ดิเอโก กอสตา หอกดีกรีทีมชาติสเปน ปีที่แล้วยิงไป 20 ประตูจาก 26 นัด แต่ตอนนี้ 6 นัดยิงได้แค่ลูกเดียวแถมทรัพยากรสำรองอย่าง โลอิค เรมี กับ ราดาเมล ฟัลเกา ก็ฝากผีฝากไข้ไม่ได้

โดย กอสตา ติดโผ 6 ผู้เล่นที่ปีนี้ออกสตาร์ทไม่ดีร่วมกับ เซร์คิโอ อกูเอโร (แมนเชสเตอร์ ซิตี) แฮร์รี เคน (ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์) อเล็กซิส ซานเชซ (อาร์เซนอล) เอเดน ฮาซาร์ด เพื่อนร่วมค่ายและ เวย์น รูนีย์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) เรียกได้ว่าฟอร์มแตกต่างจากปีที่แล้วหน้ามือเป็นหลังมือ ฤดูกาลที่แล้วยิงรวมกัน 109 ประตู

แน่นอนว่าเกิดจากปัจจัยหลากประการเช่นกองหน้าจำต้องมีความมั่นใจ แต่เปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยฟอร์มรวมถึงอายุที่มากขึ้น หลายคนซัมเมอร์ที่ผ่านมาต้องไปช่วยทีมชาติอย่าง ซานเชซ ที่คว้าแชมป์ โคปา อเมริกา 2015 กับ ชิลี, เคน ไปช่วย อังกฤษ ชุดอายุไม่เกิน 21 ปีเล่นฟุตบอลยุโรป อย่าง กอสตา มีปัญหาเรื่องสภาพร่างกายที่กรำศึกหนักชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นเรื่องความล้า

ไม่ใช่แค่ เชลซี เท่านั้นดูเหมือนทุกสโมสรจะได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า แมนฯยู, แมนฯซิตี และ อาร์เซนอล นั้นเป๋ไปตามๆ กัน โดยแชมป์ พรีเมียร์ ลีก แห่งกรุงลอนดอนนั้นทันทีที่ปีที่แล้วปิดฉากก็เหินฟ้ามาทัวร์เอเชียรวมถึงออสเตรเลีย จากนั้นก็ไปยังทวีปอเมริกาเหนือ ทำให้ ฮาซาร์ด ปีกดีกรีนักเตะยอดเยี่ยม สมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) กระชากลากเลื้อยไม่ออก ดังนั้นต้องมาดูว่าใครจะจูนเครื่องเข้าที่ก่อนกัน โดยเฉพาะ “สิงโตน้ำเงินคราม” ที่ต้องขึ้นอยู่กับกว่า อบราโมวิช เจ้าของทีมอดทนมากน้อยแค่ไหนด้วย

* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *