ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เคยนำเรื่องของ จอร์แดน สปีธ มาบอกเล่าแก่ผู้อ่านเมื่อปลายปี 2014 ในฐานะนักกอล์ฟอเมริกันดาวรุ่งที่ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวทิ้งชีวิตวัยเรียนเทิร์นโปรเมื่อเดือนธันวาคมปี 2012 ครั้งอายุ 19 ปี เพราะเชื่อมั่นกับก้าวย่างของตนเองบนเส้นทางนี้ หลังคว้าแชมป์ ยูเอส จูเนียร์ อเมเจอร์ ปี 2009 กับ 2011 ซึ่งบรรดาเกจิของวงการต่างฟันธงให้เป็น "ยัง บลัด" ประจำฤดูกาล 2015
แต่เปิดศักราช 2015 ไม่ทันไร สิ่งที่ทุกคนคาดหวังในตัว สปีธ กลับคลาดเคลื่อน ทว่าเป็นความผิดในเชิงประเมินหนุ่มรายนี้ต่ำเกินไป เพราะเวลานี้คือคนที่จะมาเขย่าบัลลังก์มือ 1 โลกของ รอรีย์ แม็คอิลรอย จากไอร์แลนด์เหนือ เนื่องจากอันดับล่าสุดขึ้นมาอยู่มือ 2 หลังคว้าแชมป์เมเจอร์แรกของปี "เดอะ มาสเตอร์ส" ที่สนาม ออกัสตา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา
ย้อนไปปี 2014 สปีธ ชิมลาง "เดอะ มาสเตอร์ส" ด้วยการจบอันดับ 2 ตามหลังแชมป์ บับบา วัตสัน รุ่นพี่ชาวอเมริกัน 3 สโตรก แต่หนนี้หนุ่มน้อยจากเท็กซัสไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่ง เพราะนำแบบม้วนเดียวจบคว้าแชมป์ด้วยสกอร์รวม 18 อันเดอร์พาร์ ทิ้ง ฟิล มิคเคลสัน (สหรัฐอเมริกา) กับ จัสติน โรส (อังกฤษ) 4 สโตรก ซิวเงินรางวัลก้อนโต 1.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 57.6 ล้านบาท) ถือเป็นถ้วยเมเจอร์แรกในชีวิตและแชมป์ที่ 2 ของปีนี้ต่อจาก "วาลสปาร์ แชมเปียนชิป" เมื่อเดือนมีนาคม รวมถึงแชมป์ พีจีเอ ทัวร์ ลำดับที่ 3
สปีธ กลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดอันดับ 2 ที่คว้าแชมป์ "เดอะ มาสเตอร์ส" ด้วยวัย 21 ปี 259 วัน เป็นรอง ไทเกอร์ วูดส์ อดีตมือ 1 ของโลกชาวอเมริกันที่ทำเอาไว้เมื่อปี 1997 คือ 21 ปี 104 วัน นอกจากนี้ยังทำสกอร์ต่ำสุดเท่ากันคือ 18 อันเดอร์พาร์ แต่คลื่นลูกใหม่ผุดสถิติเก็บมากสุด 28 เบอร์ดี อีกทั้งเป็นนักกอล์ฟต่อจาก เรย์มอนด์ ฟลอยด์ (สหรัฐอเมริกา) ที่นำทั้ง 4 รอบก่อนซิวแชมป์ทำไว้เมื่อปี 1976
จะว่าไปการขับเคี่ยวรอบสุดท้าย สปีธ พุ่งขึ้นไปมีสกอร์ต่ำสุดในประวัติศาสตร์คือ 19 อันเดอร์พาร์ หลังเก็บเบอร์ดีหลุม 15 อย่างไรก็ตามมาพัตต์พาร์ระยะ 5 ฟุตหลุมที่ 18 พลาดไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภายหลังเจ้าตัวก็ยอมรับว่าเป็นความรู้สึกเหลือเชื่อมากที่ได้สวม "กรีน แจ๊คเก็ต" ทั้งที่เมื่อจบรอบ 3 แทบนอนไม่หลับ เนื่องจากมีผู้ไล่ล่าดีกรีเป็นแชมป์เมเจอร์ทั้ง 2 คนคือ มิคเคลสัน กับ โรส
ทางด้าน รอรีย์ วืดโอกาสเก็บเมเจอร์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยจบอันดับ 4 ตามหลังแชมป์ 6 สโตรก ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายของ สปีธ ก็คือไล่ล่าตำแหน่งมือ 1 ของโลกจากชายผู้นี้ โดยกล่าวว่า "เขาคว้าแชมป์มาแล้วถึง 4 เมเจอร์ ถือเป็นสิ่งที่ผมต้องฝันต่อไป เรียกได้ว่ายังไม่สามารถทำได้ในระดับใกล้เคียงด้วยซ้ำ แต่ก็จะต้องพยายามสร้างขึ้นมา ซึ่งก็หวังว่าตนเองจะเล่นได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้และอนาคตอันใกล้ก็จะเป็นการต่อสู้รวมถึงทดสอบเกมการเล่นของเรา"
วินาทีที่คว้าแชมป์ สปีธ เข้าไปสวมกอดกับผู้เป็นพ่อ ห่างไปไม่ไกลแม่ยืนน้ำตาคลอด้วยความปลาบปลื้ม เหมือนเป็นการบ่งบอกว่าได้พิสูจน์ตัวเองสำเร็จแล้ว ขณะที่ครอบครัวก็เป็นกำลังใจให้ แม้แรกเริ่มเดิมทีที่ทิ้งตำราเรียนจะไม่เห็นด้วยก็ตาม โดยตระกูลนี้ไม่มีใครเล่นกอล์ฟ ฌอน ผู้เป็นพ่อคือนักเบสบอลระดับมหาวิทยาลัย ส่วน คริส แม่นั้นเล่นบาสเก็ตบอล ตัวของลูกชายคนนี้ได้รับอุปกรณ์เล่นกอล์ฟที่เป็นพลาสติกครั้งยังเด็ก ซึ่งก็ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นตัวจุดประกายสำคัญ
ฌอน กล่าวว่า "ผมไม่รู้ว่าจะมีอะไรทำให้ภูมิใจได้มากกว่านี้อีก พระเจ้าได้ให้ความสามารถพิเศษนี้แก่ สปีธ เขารับมือกับสิ่งนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ ปีที่แล้วเขาเกือบเป็นแชมป์ เดอะ มาสเตอร์ส ด้วยอายุน้อยที่สุด แต่กลับมาคราวนี้แก้ตัวได้สำเร็จด้วยการเป็นแชมป์"
แต่อีกคนที่ สปีธ อยากมอบแชมป์ "เดอะ มาสเตอร์ส" ให้มากที่สุดคือ เอลลี น้องสาววัย 14 ปีที่เป็นออทิสติก โดยพี่ชายยกให้เป็นแรงบันดาลใจ เนื่องจากได้ก่อตั้งกองทุนขึ้นมาชื่อ "Jordan Spieth Charitable Fund" เพื่อหาเงินช่วยบรรดาหนุ่ม-สาวที่มีลักษณะเดียวกัน น่าเสียดายที่วินาทีคว้าแชมป์น้องสาวเดินทางมาด้วยไม่ได้ เพราะเสี่ยงเรื่องระบบประสาทที่จะไวกับเสียงที่อึกทึกกว่าคนทั่วไป คนสุดท้ายที่กล้องจับจ้องมากเป็นพิเศษก็คือ แอนนี เวอร์เร็ตต์ แฟนสาวระดับไฮ-สคูลที่เข้ามามอบรางวัลเป็นจูบดูดดื่ม ซึ่งจากนี้รับรองว่าหวานใจของ สปีธ น่าจะถูกขุดคุ้ยประวัติไม่ใช่น้อย เพราะสวยใช่เล่น
ทั้งหลายทั้งปวงตอนนี้คนอเมริกันมีฮีโร่คนใหม่แล้ว ซึ่งก็น่าจะมาแทนที่ของ ไทเกอร์ แต่การจะตามรอยความสำเร็จของ "พญาเสือ" ที่ฝากผลงานระดับตำนานเอาไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้ยังหมายถึงความหวังระดับชาติในศึก ไรเดอร์ คัพ ที่เมื่อปี 2014 สปีธ เคยติดธงเป็นครั้งแรกก่อนแพ้ยุโรป เรียกได้ว่าภารกิจนั้นใหญ่หลวงเหลือเกิน ดังนั้นก้าวนี้จึงเปรียบเสมือนเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ยังไม่นับบรรดาสปอนเซอร์ที่จะรุมตอม โดยเฉพาะขาใหญ่อย่าง "ไนกี้" ที่จะผลักดันให้เป็นเศรษฐีคนใหม่ด้วยมูลค่าสัญญาระดับ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,200 ล้านบาท) คิดแล้วช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ
เรื่อง สรเดช เพชรแสงใสกุล
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *