"ปืน" เจอโจทย์หินชปล. หายนะ "ทีมผู้ดี" ส่อสูญพันธุ์

เอเยนซี - ก่อนศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง จะได้ฤกษ์โม่แข้ง เชลซี คือสโมสรตัวแทนจากอังกฤษ ที่มีโอกาสมากที่สุดในการผ่านสู่ด่านต่อไป ทว่าตอนนี้แชมป์ยุโรปฤดูกาล 2011-12 ถูกเขี่ยร่วงไปแล้วด้วยน้ำมือของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง โดยวันอังคารที่ 17 มีนาคมนี้เป็นคิวของ อาร์เซนอล ที่เจองานช้างต้องไปเยือน โมนาโก ภายใต้โจทย์ต้องยิง 3-0

อาร์เซนอล กำลังอยู่ภายใต้ฟอร์มที่ยอดเยี่ยม เพิ่งเปิดรัง เอมิเรตส์ สเตเดียม ถล่ม เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด 3-0 ศึกลอนดอน ดาร์บี พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา ทำให้ตามหลังอันดับ 2 คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี เพียงแค่แต้มเดียวเมื่อผ่านพ้นโปรแกรม 29 นัด แถมก่อนหน้านี้ก็เข้ารอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เมื่อไปเยือนชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-1

จากนี้ อาร์เซนอล จะต้องทำศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง เยือนถิ่น สต๊าด หลุยส์ ที่ 2 ของ โมนาโก สโมสรแห่งศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส วันอังคารที่ 17 มีนาคม โดยเกมแรกแพ้คาถิ่น 1-3 ทำให้ข้อแม้คือต้องชนะ 3-0 เท่านั้น ซึ่ง อารอม แรมซีย์ กองกลางมันสมองของ “ปืนโต” ก็ยังเชื่อว่ามีความเป็นไปได้

“อาร์เซนอล ต้องการประตู ดังนั้นจะพยายามเปิดเกมบุกใส่ โมนาโก โดยที่จะต้องไม่เสียเพิ่มด้วย นัดแรกทุกคนผิดพลาดกันเองเลยถูกลงโทษ แม้ว่าเงื่อนไขค่อนข้างยาก แต่ว่ายังไม่จบ ทีมเคยแสดงให้เห็นแล้วว่ายิง 3 ประตูภายในเกมเดียวกันได้ โดยจะต้องลงเล่นท่ามกลางความเชื่อ" แข้งทีมชาติเวลส์ เผย

หลังแพ้ที่ สต๊าด หลุยส์ที่ 2 อาร์เซนอล งัดผลงานชนะ 4 นัดรวดรวมทุกรายการ เกมนี้ เวนเกอร์ ที่เคยคุมทัพ โมนาโก ระหว่างปี 1987-94 มีแนวรุกให้เลือกใช้ล้นมือทั้ง โอลิวิเยร์ ชิรูด์, อเล็กซิส ซานเชซ, เมซุต โอซิล รวมถึง แรมซีย์ ที่นัดแรกที่ไม่ได้ลงสนาม อีกทั้ง แดนนี เวลเบ๊ค, ธีโอ วัลค็อตต์ กับ ซานติ กาซอร์ลา จะเป็นห่วงก็แค่เกมรับเท่านั้น

สำหรับสถิติที่ผ่านมาสโมสรที่พลิกนรกจากความพ่ายแพ้คาบ้านนัดแรกเข้ารอบได้มีเพียง อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ฤดูกาล 1995-96 รอบเซมิ-ไฟนัล นัดแรกโดน 0-1 แต่บุกชนะ พานาธิไนกอส 3-0 ตามด้วย อินเตอร์ มิลาน ฤดูกาล 2010-11 รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรกพัง 0-1 ทว่านัดสองบุกชนะ บาเยิร์น มิวนิค 3-2

ฟากเจ้าถิ่น โมนาโก ภายใต้การคุมทัพของ เลโอนาร์โด ยาร์ดิม รั้งที่ 4 ตามจ่าฝูง โอลิมปิก ลียง 8 แต้ม แต่แข่งน้อยกว่า 1 นัด ล่าสุดเพิ่งเปิดบ้านอัด บาสเตีย 3-0 เอาฤกษ์เอาชัยเมื่อวันศุกร์ที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่ง เจา มูตินโญ กองกลางจอมทัพสโมสรดังของฝรั่งเศส ก็หวังสร้างผลงานตามรอยฤดูกาล 2003-04 ภายใต้การคุมทัพของ ดิดิเยร์ เดส์ชองป์ส ที่เซอร์ไพรส์เข้าชิงกับ ปอร์โต ก่อนจะแพ้ 0-3

“ลีก เอิง ยกระดับมาตรฐานขึ้นมาได้อย่างใกล้เคียง เล่นเกมรุกดุดัน บางสโมสรก็มีสไตล์ที่เน้นเทคนิค นอกจากนี้ยังมีเรื่องสมรรถภาพของร่างกาย เกมรับ และสวนกลับ เรียกได้ว่าหลากหลายพอสมควร ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อว่า โมนาโก จะมาถึงจุดนี้ใน แชมเปียนส์ ลีก แต่ดูจากผลงานของเราแล้วก็ถือว่าคู่ควร เพราะทำได้ดีเต็มไปด้วยความมั่นใจ แม้จะขาดประสบการณ์ ทว่าทุกคนก็ทุ่มเท ดังนั้นทำไมจะไม่มีสิทธิ์ซ้ำรอยนัดชิงปี 2004” มิดฟิลด์ทีมชาติโปรตุเกส เผย

ถัดจากนี้วันพุธที่ 18 มีนาคม แมนเชสเตอร์ ซิตี ได้เวลาออกโรงบ้าง โดยจะต้องไปเยือน คัมป์ นู ของ บาร์เซโลนา นัดแรกแพ้คาถิ่น 1-2 ดังนั้นเงื่อนไขก็คือต้องชนะ 2-0 ดูจากฟอร์มของ “เรือใบ” ที่กำลังตุปัดตุเป๋แล่นแบบไร้หางเสือในลีกเพิ่งบุกพ่าย เบิร์นลีย์ 0-1 จนโอกาสป้องแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ริบหรี่ตามหลังจ่าฝูง เชลซี 6 แต้มแถมแข่งมากกว่า 1 นัด คงจากที่จะไปล้มยักษ์ถึงสเปน ดูแล้วมีอันได้ม้วนเสื่อกลับบ้านอีกราย

วิเคราะห์ดูแล้วถือเป็นวิกฤติของสโมสรจากอังกฤษอย่างแท้จริง หากปีนี้ไม่มีทีมใดหลุดเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเพื่อกู้หน้า เพราะครั้งหนึ่งเคยมีทีมจากเมืองผู้ดีเข้าชิงถึง 4 ปีติดต่อกันไล่ตั้งแต่ 2006 ถึง 2009 ส่วน เชลซี คือทีมที่ชิงครั้งสุดท้ายปี 2012

โดย 2 ปีหลังสุดเป็นทีมจากเยอรมนีกับสเปนชิงกันเองซึ่งก็ว่าแย่แล้ว แต่ตอนนี้ทีมจาก พรีเมียร์ ลีก กำลังจะสูญพันธุ์ถ้วยยุโรปใบใหญ่ ซึ่งก็ต้องมารอดูว่าอาจกระทบถึงค่าสัมประสิทธิ์ของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟา) ที่อนาคตอาจจะตัดโควตาอังกฤษเหลือเพียงแค่ 3 ทีมก็เป็นได้

* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *