ASTV ผู้จัดการรายวัน – โอกาสคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 43 ของทัพ "ช้างศึก" ทีมชาติไทย อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบาก หลังโดน อุซเบกิสถาน ถล่ม 2-5 ทำให้นัดสุดท้ายต้องรวมใจสู้หมายเอาชนะ เกาหลีใต้ จ่าฝูง ให้ได้มากกว่า 2 ประตู จึงจะมีลุ้น โดย "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ เล็งปรับทัพ 3-4 ตำแหน่ง อุดรอยรั่วในแนวรับ
สถานการณ์ล่าสุดของการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 43 จังหวัดนครราชสีมาเป็นเจ้าภาพ ขุนพลทีมชาติไทย แชมป์ 13 สมัย เปิดหัวสวยด้วยการปราบ ฮอนดูรัส ชุดเตรียมสู้ศึก ยู-20 ชิงแชมป์โลก 3-1 ก่อนจะโดน อุซเบกิสถาน ชุด ยู-23 ถล่มเละ 2-5 ทำให้ตกไปอยู่อันดับ 3 มี 3 แต้ม ผลต่างประตูได้-เสีย ลบ 1 โดยผู้นำเป็น เกาหลีใต้ ยู-22 ชุดเตรียมโอลิมปิกเกมส์ มี 6 แต้ม (บวก 3) ตามด้วย อุซเบกิสถาน มี 3 แต้ม (บวก 2) และ ฮอนดูรัส รั้งท้าย มี 0 แต้ม (ลบ 4)
ดังนั้นทางเลือกที่มีโอกาสมากที่สุดหากจะคว้าแชมป์สมัยที่ 14 คือต้องชนะ “โสมขาว” ในนัดสุดท้ายด้วยผลต่างเกิน 2 ประตู เพื่อฉุดลงมาให้ทุกอย่างเท่ากัน แล้วลุ้นให้ อุซเบกิสถาน ที่แข่งก่อนไม่ชนะ ฮอนดูรัส หากเป็นเช่นนี้ ไทย และ เกาหลีใต้ จะครองแชมป์ร่วมกันทันที หรือถ้าทัพ “หมาป่าขาว” จากเอเชียกลาง ชนะได้ก่อนอย่างน้อย 1-0 “ช้างศึก” จะต้องยิงแข้งกิมจิให้ได้ถึง 4 ประตู จึงจะได้แชมป์ร่วมกัน ซึ่งนับเป็นงานยากทั้งคู่
โดย เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือทีมชาติไทย เผยถึงสภาพทีมว่าทุกคนจิตใจดีขึ้นแล้วหลังจากพ่ายยับในเกมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสกอร์ที่ห่างที่สุดตั้งแต่ทีมชุดนี้รวมตัวกันมา “ผู้เล่นชุดนี้ได้รับเสียงชมมาตลอด ดังนั้นสกอร์ที่ออกมาขาดและไม่เคยเจอแบบนี้จึงอาจจะกระทบต่อจิตใจได้ ผมจึงได้บอกให้ทุกคนลืมความพ่ายแพ้ให้เร็ว ซึ่งพวกเขาก็ยังได้กำลังใจจากแฟนๆที่ตามมาเชียร์ ทำให้ตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นมากแล้ว และพร้อมที่จะรวมใจสู้กับเกาหลีใต้ในเกมสุดท้าย”
พร้อมกันนี้ “ซิโก้” ยอมรับว่าโอกาสคว้าแชมป์นั้นยาก “โอกาสที่จะคว้าแชมป์ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหมดลุ้น ซึ่งเกมกับเกาหลีใต้เป็นเกมที่ยากแน่นอน เราต้องทำการบ้านให้ดีที่สุด แม้จะต้องทำถึง 2 ประตู แต่เชื่อว่ายังมีหวัง หากได้ประตูแรกเร็วก็น่าจะมีลูกอื่นๆ ตามมา อย่างไรก็ตามผมไม่อยากกดดันน้องๆ อย่างแรกที่ทุกคนต้องทำคือเล่นให้ได้ตามแทคติกที่วางไว้ก่อน เรามีบทเรียนและจุดอ่อนให้เห็นแล้วในเรื่องของเกมรับ ซึ่ง อุซเบกิสถาน เล่นงานเราด้วยจังหวะโต้กลับ ทำให้ต้องปรับในจุดนี้เป็นพิเศษ ที่สำคัญทุกคนต้องเน้นให้มากที่สุด เกาหลีใต้ อันตรายมาก เราต้องรัดกุม ไม่เร่งทำเกมรุกมากเกินไปและอาจจะไม่บุกตามเสียงเชียร์”
“ส่วนตัวผู้เล่นนั้นอาจจะต้องเปลี่ยนแปลง 3-4 ตำแหน่ง เพราะชุดเดิมเริ่มมีอาการล้า โดยกองหลังตอนนี้ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ หายเจ็บแล้วพร้อมลงสนามแล้ว ส่วนกองกลางจะถอย ชนาธิป สรงกระสินธ์ มายืนตำแหน่งเดิมหลังจาก 2 เกมที่ผ่านมาต้องไปเล่นเป็นกองหน้า นอกจากนี้ยังมี อดุล หละโสะ ที่พร้อมจะลงสนาม ส่วนศูนย์หน้าตัวเป้าอาจให้โอกาส ภิญโญ อินพินิจ เนื่องจากคงจะยังไม่ใช้งาน อดิศักดิ์ ไกรษร ที่บาดเจ็บหัวไหล่เพราะเกรงว่าอาการจะกำเริบหนักขึ้น” กุนซือวัย 41 ปีเผย
ด้าน “เมสซีเจ” ชนาธิป เพลย์เมกเกอร์ตัวเกมของทีม กล่าวว่า “เกมที่ผ่านมาเราทำให้แฟนฟุตบอลผิดหวัง และนี่คือบทเรียนครั้งสำคัญของพวกเรา ที่ได้เห็นจุดบกพร่องมากมาย ความพ่ายแพ้ไม่ได้ทำให้พวกเราต้องยอมแพ้ไปด้วย จึงอยากให้แฟนๆ ยังคงความเชื่อมั่นในทีมชาติไทยต่อไป โดยขั้นแรกเราต้องลุ้นให้ อุซเบกิสถาน ไม่ชนะ แต่เราต้องเอาชนะ เกาหลีใต้ ให้ได้ด้วย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ง่าย พวกเขาเป็นทีมที่แข็งแกร่ง ผมเคยแพ้มาตอนชิงแชมป์เอเชีย ที่ยูเออี และเอเชียนเกมส์ ที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าหากทุกคนมุ่งมั่นและตั้งใจช่วยกันงัดฟอร์มเก่งออกมาพร้อมๆ กันแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้”
โดย 11 ผู้เล่นตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนามระบบ 4-3-3 ประกอบด้วย กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์(ผู้รักษาประตู), พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา, สุทธินันท์ พุกหอม, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, อดุล หละโสะ, สารัช อยู่เย็น, ชนาธิป สรงกระสินธ์, นูรูล ศรียานเก็ม, เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ และ ภิญโญ อินพินิจ
สำหรับโปรแกรมศึกคิงส์คัพ ครั้งที่ 43 นัดสุดท้าย วันที่ 7 กุมภาพันธ์ นี้ คู่แรก อุซเบกิสถาน จะ พบ ฮอนดูรัส เวลา 16.00 น. ต่อด้วย ไทย พบ เกาหลีใต้ เวลา 19.00 น. ที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา นครราชสีมา โดยกฎการคว้าแชมป์คือ 1.นับคะแนน 2.นับผลต่างประตูได้-เสีย หากยังเท่ากันหมดจะครองแชมป์ร่วมทันที
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *