คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
หลายคนคงเอือมกับข่าวตีกันในวงการลูกหนังไทย แรกเริ่มได้ยินอาจตกใจ แต่นานเข้าชักบ่อย แถมมาเป็นระยะไม่ขาดสาย พักหลังพอได้ยินจึงได้แต่พูดด้วยเสียงปลงๆว่า อ้อหรอ อีกแล้วหรอ แล้วก็ปล่อยผ่านไป
ล่าสุดกับกรณีปะทะกันระหว่างกองเชียร์ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ สิงห์ ท่าเรือ หลังจบเกมที่ “กิเลนผยอง” เปิดบ้านชนะ 3-1 เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งต้องบอกว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่สองทีมนี้ก่อเหตุวิวาทกัน นับคร่าวๆก็ครั้งที่ 4 หรือ 5 เข้าไปแล้ว ไล่ตั้งแต่การแหกรั้วเข้าห้ำหั่นกันกลางอัฒจันทร์ในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ประเภท ก เมื่อปี 2010 เลยมาถึงฤดูกาลปัจจุบันที่กระทบกระทั่งทั้ง 2 นัดที่พบกันไม่ว่าจะที่ แพท สเตเดียม หรือ เอสซีจี สเตเดียม
พอมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นต่างฝ่ายต่างออกโรงปกป้องทีมตนเอง และโยนความผิดไปให้ฝั่งตรงข้ามว่าเป็นคนเริ่มก่อน ซึ่งพูดตามความจริงคงป่วยการที่จะหา เพราะการเริ่มก่อนที่ว่านั้นยากที่จะตัดสินว่ามาจากเหตุไหน หลังจากแยกย้ายกันฝ่ายหนึ่งกำลังเดินอยู่ดีๆกลับโดนคู่อริเข้ามารุมทำร้ายก็คิดว่าตนโดนเริ่มก่อน แต่หารู้ไม่ว่าอีกฝั่งหนึ่งของสนามเพื่อนร่วมสีเสื้อของตนอาจกำลังเปิดฉากกระหน่ำหินใส่คู่ต่อสู้อยู่ก็เป็นได้
เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้มันเกินคำว่าใครเริ่มก่อนไปแล้วหากทั้งสองฝ่ายยังตั้งแง่ตอบโต้กันไปมา คุณไม่ต้องเป็นคนจุดชนวนหรอก แค่เข้าไปร่วมผสมโรงก็ถือว่าผิดแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน ตัวผมในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนได้เคยตามไปทำข่าวการหารือปรับความเข้าใจระหว่างบอร์ดบริหารสโมสรกับกลุ่มแฟนบอลของทีม ก่อนเกมบิ๊กแมตช์ที่จะพบกับคู่อริในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยทางสโมสรได้เปิดใจปนขอร้องให้แฟนคลับของตนอย่าพยายามก่อเรื่องวุ่นวาย พร้อมทั้งกางผังแผนรักษาความปลอดภัยให้ดูอย่างละเอียดว่าเมื่อเกมจบแล้วฝั่งไหนจะออกจากสนามทางใดได้บ้าง
ซึ่งทุกอย่างถูกเตรียมมาอย่างดี ทั้งสองทีมสามารถเดินแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีหน่วยรักษาความปลอดภัยคอยคุ้มกันและสอดส่องตามสถานที่สุ่มเสี่ยงทั่วบริเวณรอบนอกของสนามที่ทั้งสองทีมนี้จะใช้เป็นเส้นทางสัญจรกลับบ้าน พร้อมย้ำปิดท้ายว่าหากทุกคนปฏิบัติตามนี้จะไม่เกิดการกระทับกระทั่งกันแน่นอน
ทุกอย่างกำลังเพอร์เฟกต์ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีกระทาชายนายหนึ่งทะลึ่งบ้องออกมาว่า “แล้วถ้าผมเดินผ่านบริเวณที่รักษาความปลอดภัยออกมาแล้ว และดันเจอพวกนั้นเดินมาแล้วผมเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาจะทำอย่างไร ?”
คำถามดังกล่าวที่ไม่รู้ถูกกลั่นออกมาจากสมองซีกไหนของผู้พูดทำให้ผมถึงกับอึ้ง และชะงักการจดบันทึกทันที ห้วงเวลานั้นทุกอย่างเงียบสงบ ไร้ซึ่งการโต้ตอบใดๆ ใบหน้าของผู้บริหารคนดังกล่าวบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ตนพยายามพล่ามมากว่าครึ่งชั่วโมงนั้นเหมือนสูญหายไปในอากาศ และแล้วเมื่อถึงวันแข่งขันก็เป็นไปตามคาดมีการชุลมุนกันเกิดขึ้นรอบนอกสนาม แต่เดชะบุญที่มีแค่ประปรายไม่รุนแรงมากนัก
ส่วนคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบในวันนั้น ยังคงดังก้องอยู่ในหัวผมเสมอยามเมื่อได้ข่าวว่าแฟนบอลทีมนั้นก่อเหตุวิวาทกับทีมคู่แข่งอีก ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ได้อย่างดีว่าต่อให้สโมสรหรือฝ่ายจัดการแข่งขันมีมาตรการ กฎเหล็ก หรือบทลงโทษใดๆ ออกมา ก็คงไร้ความหมาย หากสามัญสำนึกของแฟนบอลบางส่วนยังคงเป็นเช่นนี้ ใครทำอะไรก็คงรู้อยู่แก่ใจตัวเอง
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
หลายคนคงเอือมกับข่าวตีกันในวงการลูกหนังไทย แรกเริ่มได้ยินอาจตกใจ แต่นานเข้าชักบ่อย แถมมาเป็นระยะไม่ขาดสาย พักหลังพอได้ยินจึงได้แต่พูดด้วยเสียงปลงๆว่า อ้อหรอ อีกแล้วหรอ แล้วก็ปล่อยผ่านไป
ล่าสุดกับกรณีปะทะกันระหว่างกองเชียร์ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ สิงห์ ท่าเรือ หลังจบเกมที่ “กิเลนผยอง” เปิดบ้านชนะ 3-1 เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา ซึ่งต้องบอกว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่สองทีมนี้ก่อเหตุวิวาทกัน นับคร่าวๆก็ครั้งที่ 4 หรือ 5 เข้าไปแล้ว ไล่ตั้งแต่การแหกรั้วเข้าห้ำหั่นกันกลางอัฒจันทร์ในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ประเภท ก เมื่อปี 2010 เลยมาถึงฤดูกาลปัจจุบันที่กระทบกระทั่งทั้ง 2 นัดที่พบกันไม่ว่าจะที่ แพท สเตเดียม หรือ เอสซีจี สเตเดียม
พอมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นต่างฝ่ายต่างออกโรงปกป้องทีมตนเอง และโยนความผิดไปให้ฝั่งตรงข้ามว่าเป็นคนเริ่มก่อน ซึ่งพูดตามความจริงคงป่วยการที่จะหา เพราะการเริ่มก่อนที่ว่านั้นยากที่จะตัดสินว่ามาจากเหตุไหน หลังจากแยกย้ายกันฝ่ายหนึ่งกำลังเดินอยู่ดีๆกลับโดนคู่อริเข้ามารุมทำร้ายก็คิดว่าตนโดนเริ่มก่อน แต่หารู้ไม่ว่าอีกฝั่งหนึ่งของสนามเพื่อนร่วมสีเสื้อของตนอาจกำลังเปิดฉากกระหน่ำหินใส่คู่ต่อสู้อยู่ก็เป็นได้
เห็นได้ชัดว่าสิ่งเหล่านี้มันเกินคำว่าใครเริ่มก่อนไปแล้วหากทั้งสองฝ่ายยังตั้งแง่ตอบโต้กันไปมา คุณไม่ต้องเป็นคนจุดชนวนหรอก แค่เข้าไปร่วมผสมโรงก็ถือว่าผิดแล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน ตัวผมในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนได้เคยตามไปทำข่าวการหารือปรับความเข้าใจระหว่างบอร์ดบริหารสโมสรกับกลุ่มแฟนบอลของทีม ก่อนเกมบิ๊กแมตช์ที่จะพบกับคู่อริในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยทางสโมสรได้เปิดใจปนขอร้องให้แฟนคลับของตนอย่าพยายามก่อเรื่องวุ่นวาย พร้อมทั้งกางผังแผนรักษาความปลอดภัยให้ดูอย่างละเอียดว่าเมื่อเกมจบแล้วฝั่งไหนจะออกจากสนามทางใดได้บ้าง
ซึ่งทุกอย่างถูกเตรียมมาอย่างดี ทั้งสองทีมสามารถเดินแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีหน่วยรักษาความปลอดภัยคอยคุ้มกันและสอดส่องตามสถานที่สุ่มเสี่ยงทั่วบริเวณรอบนอกของสนามที่ทั้งสองทีมนี้จะใช้เป็นเส้นทางสัญจรกลับบ้าน พร้อมย้ำปิดท้ายว่าหากทุกคนปฏิบัติตามนี้จะไม่เกิดการกระทับกระทั่งกันแน่นอน
ทุกอย่างกำลังเพอร์เฟกต์ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีกระทาชายนายหนึ่งทะลึ่งบ้องออกมาว่า “แล้วถ้าผมเดินผ่านบริเวณที่รักษาความปลอดภัยออกมาแล้ว และดันเจอพวกนั้นเดินมาแล้วผมเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาจะทำอย่างไร ?”
คำถามดังกล่าวที่ไม่รู้ถูกกลั่นออกมาจากสมองซีกไหนของผู้พูดทำให้ผมถึงกับอึ้ง และชะงักการจดบันทึกทันที ห้วงเวลานั้นทุกอย่างเงียบสงบ ไร้ซึ่งการโต้ตอบใดๆ ใบหน้าของผู้บริหารคนดังกล่าวบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ตนพยายามพล่ามมากว่าครึ่งชั่วโมงนั้นเหมือนสูญหายไปในอากาศ และแล้วเมื่อถึงวันแข่งขันก็เป็นไปตามคาดมีการชุลมุนกันเกิดขึ้นรอบนอกสนาม แต่เดชะบุญที่มีแค่ประปรายไม่รุนแรงมากนัก
ส่วนคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบในวันนั้น ยังคงดังก้องอยู่ในหัวผมเสมอยามเมื่อได้ข่าวว่าแฟนบอลทีมนั้นก่อเหตุวิวาทกับทีมคู่แข่งอีก ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ได้อย่างดีว่าต่อให้สโมสรหรือฝ่ายจัดการแข่งขันมีมาตรการ กฎเหล็ก หรือบทลงโทษใดๆ ออกมา ก็คงไร้ความหมาย หากสามัญสำนึกของแฟนบอลบางส่วนยังคงเป็นเช่นนี้ ใครทำอะไรก็คงรู้อยู่แก่ใจตัวเอง
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *