คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
แม้ “ช้างศึก” ทัพฟุตบอลชายทีมชาติไทย จะอกหักชวดเข้ารอบชิงชนะเลิศ ด้วยน้ำมือเจ้าภาพ เกาหลีใต้ แบบค้านสายตา 0-2 ในเอเชียนเกมส์ 2014 แต่ต้องยอมรับว่าตลอดเส้นทางในทัวร์นาเมนต์ฟอร์มการเล่นนั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจกองเชียร์เป็นอย่างมาก จนอดคิดไม่ได้ว่าหากทีมงานชุดนี้ถูกดันขึ้นสู่ ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ จะเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ตาม แฟนบอลไทยก็ยังต้องลุ้นต่อไปเพราะแม่ทัพใหญ่อย่าง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ในฐานะกุนซือยังยืนยันคำเดิมว่าจะไม่รับเผือกร้อนชิ้นนี้ โดยให้เหตุผลเบื้องต้นว่าอยากขอพักเบรก ให้เวลากับครอบครัวและทำงานส่วนตัวสักระยะก่อนจะหวนคืนวงการลูกหนังอีกครั้ง และช่วงนี้ก็จะไม่รับงานกับสโมสรไหนทั้งสิ้น แต่ไม่บอกชัดเจนว่าจะเป็นเมื่อไหร่ พร้อมให้รายละเอียดที่ลึกลงไปคือ ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ นั้นไม่ใช่ทีมที่ตนสร้างขึ้นมาเหมือนกับชุดเอเชียนเกมส์ ที่ต่อยอดมาจาก ซีเกมส์ 2013 ที่เมียนมาร์
แม้ว่าผมจะได้โอกาสลองแย็ปถามเจ้าตัวไปว่า ถ้าเป็นไปได้หากสามารถที่จะยกเด็กชุดนี้ขึ้นสู่ชุดใหญ่แบบยกกระบิได้ เจ้าตัวจะตอบรับคุมทีมหรือไม่ ซึ่ง “ซิโก้” เองก็ตอบแบบแทงกั๊ก ไม่ตอบตกลงแต่ก็ไม่ปฏิเสธเสียทีเดียว พร้อมฝากย้อนถามแฟนบอลว่าจะรับได้ไหมหากต้องแบกน้ำหนักแล้วผลงานออกมาไม่เข้าตาเพราะแต่ละคนอายุยังน้อย
แปลง่ายๆ คือ ถ้าเจ้าตัวได้โอกาสคุมชุดใหญ่แล้วเลือกนักชุดนี้ที่ตนปั้นมากับมือติดธงแล้วผลงานเกิดออกมาไม่ดีแฟนบอลจะด่าหรือไม่นั่นแหละ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นการเสี่ยงโชคอย่างหนึ่งก็ว่าได้ จริงอยู่ที่เด็กชุดนี้สามารถเล่นกันได้อย่างเข้าขา ต่อบอลไหลลื่นประเภทไม่ต้องมองตาก็รู้ใจ แต่อย่าลืมว่ายังมีรุ่นพี่อีกหลายรายที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ยืนขวางอยู่ อาทิ ธีรศิลป์ แดงดา ดัสกร ทองเหลา จักรพันธ์ แก้วพรม ธีราทร บุญมาทัน หรือ อดุล หละโสะ ที่หากนำมาผสมกันก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมากลมกล่อมหรือไม่ เพราะแทบจะไม่ได้รวมทีมฝึกซ้อมร่วมกัน
เหนือสิ่งอื่นใดอีกหนึ่งเหตุผลหลักที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่ายังทำให้เจ้าตัวลังเลคงหนีไม่พ้นเรื่อง “สัญญา” เพราะตั้งแต่ทำทีมคว้าแชมป์ “เนปิดอว์เกมส์” ตลอดจนการันตีฝีมือกับ “อินชอนเกมส์” ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวมีระยะงานนานเท่าไหร่ หรือได้ค่าจ้างเดือนละมากน้อยแค่ไหน ซึ่งตัวนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เองก็ยังเลี่ยงไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้ ด้วยอนึ่งว่าตัว “ซิโก้” เองถือเป็นลูกหม้อของทางสมาคมฯที่ได้รับการฟูมฟักมาตั้งแต่ครั้งยังหวดบอลในสนาม ที่ผ่านมาเปรียบเสมือนเป็นการให้โอกาสและทำเพื่อประเทศชาติ มีเพียง “สัญญาใจ” ยึดเหนี่ยวไว้เหมือนที่โค้ชไทยหลายรายเคยเจอะเจอ
กระนั้นทุกวันนี้โลกลูกหนังแปรเปลี่ยนเป็นมืออาชีพมากขึ้น สัญญาใจอย่างเดียวคงไมพอยาไส้ อย่าลืมว่าการเป็นโค้ชทีมชาติต้องสละเวลาส่วนตัวไม่ต่างจากโค้ชสโมสร เพราะแม้จะไม่มีแมตช์แข่งขันแต่ก็ต้องศึกษาข้อมูลคู่แข่งรวมถึงสเกาต์นักเตะในประเทศไม่ให้คลาดสายตา จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมกุนซือตาน้ำข้าวที่เข้ามาคุมบังเหียนช้างศึกก่อนหน้านี้ถึงมีรายได้เดือนละเป็นแสนเป็นล้าน
อย่างไรก็ตาม ผมยังแอบคิดเข้าข้างตัวเองลึกๆ ว่ายังไงแล้วท้ายที่สุด “ซิโก้” ก็จะตอบรับคุมช้างศึกชุดใหญ่แน่นอน เหมือนที่เคยปฏิเสธไม่คุมชุดเอเชียนเกมส์ ตอนที่จบซีเกมส์นั่นแหละ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่ว่ากระแสตอบรับของแฟนบอลจะเป็นอย่างไร และต้องทำใจล่วงหน้าเลยว่า ซูซูกิ คัพ ปลายเดือนพฤศจิกายน นี้ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
แม้ “ช้างศึก” ทัพฟุตบอลชายทีมชาติไทย จะอกหักชวดเข้ารอบชิงชนะเลิศ ด้วยน้ำมือเจ้าภาพ เกาหลีใต้ แบบค้านสายตา 0-2 ในเอเชียนเกมส์ 2014 แต่ต้องยอมรับว่าตลอดเส้นทางในทัวร์นาเมนต์ฟอร์มการเล่นนั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจกองเชียร์เป็นอย่างมาก จนอดคิดไม่ได้ว่าหากทีมงานชุดนี้ถูกดันขึ้นสู่ ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ จะเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ตาม แฟนบอลไทยก็ยังต้องลุ้นต่อไปเพราะแม่ทัพใหญ่อย่าง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ในฐานะกุนซือยังยืนยันคำเดิมว่าจะไม่รับเผือกร้อนชิ้นนี้ โดยให้เหตุผลเบื้องต้นว่าอยากขอพักเบรก ให้เวลากับครอบครัวและทำงานส่วนตัวสักระยะก่อนจะหวนคืนวงการลูกหนังอีกครั้ง และช่วงนี้ก็จะไม่รับงานกับสโมสรไหนทั้งสิ้น แต่ไม่บอกชัดเจนว่าจะเป็นเมื่อไหร่ พร้อมให้รายละเอียดที่ลึกลงไปคือ ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ นั้นไม่ใช่ทีมที่ตนสร้างขึ้นมาเหมือนกับชุดเอเชียนเกมส์ ที่ต่อยอดมาจาก ซีเกมส์ 2013 ที่เมียนมาร์
แม้ว่าผมจะได้โอกาสลองแย็ปถามเจ้าตัวไปว่า ถ้าเป็นไปได้หากสามารถที่จะยกเด็กชุดนี้ขึ้นสู่ชุดใหญ่แบบยกกระบิได้ เจ้าตัวจะตอบรับคุมทีมหรือไม่ ซึ่ง “ซิโก้” เองก็ตอบแบบแทงกั๊ก ไม่ตอบตกลงแต่ก็ไม่ปฏิเสธเสียทีเดียว พร้อมฝากย้อนถามแฟนบอลว่าจะรับได้ไหมหากต้องแบกน้ำหนักแล้วผลงานออกมาไม่เข้าตาเพราะแต่ละคนอายุยังน้อย
แปลง่ายๆ คือ ถ้าเจ้าตัวได้โอกาสคุมชุดใหญ่แล้วเลือกนักชุดนี้ที่ตนปั้นมากับมือติดธงแล้วผลงานเกิดออกมาไม่ดีแฟนบอลจะด่าหรือไม่นั่นแหละ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นการเสี่ยงโชคอย่างหนึ่งก็ว่าได้ จริงอยู่ที่เด็กชุดนี้สามารถเล่นกันได้อย่างเข้าขา ต่อบอลไหลลื่นประเภทไม่ต้องมองตาก็รู้ใจ แต่อย่าลืมว่ายังมีรุ่นพี่อีกหลายรายที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ยืนขวางอยู่ อาทิ ธีรศิลป์ แดงดา ดัสกร ทองเหลา จักรพันธ์ แก้วพรม ธีราทร บุญมาทัน หรือ อดุล หละโสะ ที่หากนำมาผสมกันก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมากลมกล่อมหรือไม่ เพราะแทบจะไม่ได้รวมทีมฝึกซ้อมร่วมกัน
เหนือสิ่งอื่นใดอีกหนึ่งเหตุผลหลักที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่ายังทำให้เจ้าตัวลังเลคงหนีไม่พ้นเรื่อง “สัญญา” เพราะตั้งแต่ทำทีมคว้าแชมป์ “เนปิดอว์เกมส์” ตลอดจนการันตีฝีมือกับ “อินชอนเกมส์” ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวมีระยะงานนานเท่าไหร่ หรือได้ค่าจ้างเดือนละมากน้อยแค่ไหน ซึ่งตัวนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เองก็ยังเลี่ยงไม่ขอพูดถึงเรื่องนี้ ด้วยอนึ่งว่าตัว “ซิโก้” เองถือเป็นลูกหม้อของทางสมาคมฯที่ได้รับการฟูมฟักมาตั้งแต่ครั้งยังหวดบอลในสนาม ที่ผ่านมาเปรียบเสมือนเป็นการให้โอกาสและทำเพื่อประเทศชาติ มีเพียง “สัญญาใจ” ยึดเหนี่ยวไว้เหมือนที่โค้ชไทยหลายรายเคยเจอะเจอ
กระนั้นทุกวันนี้โลกลูกหนังแปรเปลี่ยนเป็นมืออาชีพมากขึ้น สัญญาใจอย่างเดียวคงไมพอยาไส้ อย่าลืมว่าการเป็นโค้ชทีมชาติต้องสละเวลาส่วนตัวไม่ต่างจากโค้ชสโมสร เพราะแม้จะไม่มีแมตช์แข่งขันแต่ก็ต้องศึกษาข้อมูลคู่แข่งรวมถึงสเกาต์นักเตะในประเทศไม่ให้คลาดสายตา จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมกุนซือตาน้ำข้าวที่เข้ามาคุมบังเหียนช้างศึกก่อนหน้านี้ถึงมีรายได้เดือนละเป็นแสนเป็นล้าน
อย่างไรก็ตาม ผมยังแอบคิดเข้าข้างตัวเองลึกๆ ว่ายังไงแล้วท้ายที่สุด “ซิโก้” ก็จะตอบรับคุมช้างศึกชุดใหญ่แน่นอน เหมือนที่เคยปฏิเสธไม่คุมชุดเอเชียนเกมส์ ตอนที่จบซีเกมส์นั่นแหละ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่ว่ากระแสตอบรับของแฟนบอลจะเป็นอย่างไร และต้องทำใจล่วงหน้าเลยว่า ซูซูกิ คัพ ปลายเดือนพฤศจิกายน นี้ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
