คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
บุคคลที่ฮอตที่สุดในวงการกีฬาบ้านเราเวลานี้คงจะหนีไม่พ้น “เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา หัวหอกทีมชาติไทย ในฐานะนักฟุตบอลไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ย้ายไปร่วมทีมในศึก ลา ลีกา สเปน กับ อัลเมเรีย แต่คำถามคือใครจะเป็นรายต่อไปที่ประสบความสำเร็จถึงจุดนี้บ้าง ซึ่งการที่ ธีรศิลป์ ได้เบิกทางไปก่อนหน้าจึงถือเป็นกรณีศึกษาอย่างดีให้กับนักเตะรุ่นหลัง หรือจะเรียกว่า “มุ้ย โมเดล” ก็คงไม่ผิดนัก
อย่างที่ทราบกันดี ธีรศิลป์ ผ่านประสบการณ์มามากมายทั้งในประเทศและต่างแดน ดังนั้น หากเราจะใช้มาตรฐานของเจ้าตัวมาวัดเป็นขั้นบันไดเพื่อเป็นแนวทางให้รุ่นน้องได้ก้าวตามสู่ความสำเร็จ นอกจากความสามารถและพรสวรรค์ส่วนตัวแล้ว เส้นทางที่แข้งวัย 26 ปีรายนี้เดินขึ้นมาสามารถแบ่งหลักๆ ได้ 5 ขั้น ดังต่อไปนี้
1. แจ้งเกิดจากเวทีเด็ก : เป็นเรื่องธรรมดาที่นักเตะระดับสตาร์จะเริ่มฉายแววตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งแม้สมัยวัยเยาว์ชื่อของ ธีรศิลป์ อาจไม่โด่งดังเท่าเพื่อนนักเตะรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เจ้าตัวก็ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการพาทีม โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี คว้าอันดับ 5 ศึกฟุตบอลเยาวชน 15 ปี “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ คัพ” รอบ เวิลด์ ไฟนอล ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นอันดับที่ดีที่สุดของแข้งจิ๋วไทยจนถึงทุกวันนี้ ก่อนจะเป็นกำลังสำคัญพา “เจ้าสัวน้อย” ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชน 17 ปี ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย “โค้กคัพ” ครั้งที่ 13 พร้อมได้สิทธิ์ไปฝึกซ้อมที่ประเทศบราซิล 1 สัปดาห์ เรียกได้ว่าฮอตตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว
2. ก้าวสู่บิ๊กทีม : ปฏิเสธไมได้เลยว่าการจะเป็นที่สนใจของแมวมองต่างชาตินั้น การอยู่สโมสรใหญ่ย่อมได้รับการเพ่งเล็งเป็นอันดับแรก และ “เจ้ามุ้ย” เองก็ได้รับโอกาสกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ซึ่งแม้ในเวลานั้นจะยังอยู่เพียงระดับ ดิวิชัน 2 แต่เจ้าตัวก็เป็นกำลังหลักพาทีมคว้าแชมป์ไต่ระดับได้สำเร็จก่อนจะฝากชื่อเป็นตำนานของสโมสรในปัจจุบัน ที่สำคัญการได้อยู่กับทีมระดับท็อปของประเทศ นั่นหมายถึงโอกาสต่างๆ ที่จะตามมาในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการได้โชว์ฟอร์มในฟุตบอลถ้วยสโมสรเอเชีย หรือโอกาสจากคอนเน็คชันต่างๆ ของต้นสังกัดด้วยเช่นกัน
3. สร้างชื่อทีมชาติ : ต่อจากการเล่นได้เล่นให้กับสโมสรชั้นนำ อีก 1 สิ่งที่จะสามารถเตะตาแมวมองได้คงหนีไม่พ้นผลงานในนามทีมชาติ ซึ่งแม้ “ช้างศึก” จะผลงานลุ่มๆดอนๆ แต่ “เจ้ามุ้ย” ที่ก้าวติดชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 19 ปี ก็ยังรักษามาตรฐานทำประตูได้อย่างต่อเนื่องระเบิดไป 29 ประตู จาก 60 นัดที่ลงเล่น พร้อมสร้างชื่อในการเป็นดาวยิงระดับแถวหน้าของอาเซียน
4. ประสบการณ์ต่างแดน : สิ่งที่ผู้บริหารทีมอัลเมเรียและแฟนบอลสเปน ให้ความสนใจในตัว ธีรศิลป์ ไม่ใช่เป็นเพราะความเป็นแข้งไทยรายแรก แต่เป็นการที่เจ้าตัวมีประวัติเคยร่วมซ้อมกับทีมดังอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี, กราสฮอปเปอร์ ซูริค และ แอตเลติโก มาดริด ซึ่งแม้จะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังแต่ก็เป็นโปรไฟล์ชิ้นดีให้มองข้ามไม่ได้ ดังนั้น บันไดขั้นนี้จึงถือเป็นหัวใจเลยก็ว่าได้ในการจะก้าวขึ้นสู่เวทีโลก และยิ่งมองย้อนกลับไป “เจ้ามุ้ย” นั้นบ่มเพาะเรียนรู้ความเป็นมืออาชีพจากทีมในต่างแดนมาเต็มกระเป๋า
5. การันตีด้วยรางวัล : เมื่อก้าวขึ้นบันไดทั้ง 4 ขั้นอย่างมั่นคง สิ่งที่จะการันตีความสามารถของนักเตะได้อย่างเป็นรูปธรรมก็คือถ้วยรางวัล โดยที่ผ่านมา “มุ้ย” เก็บโทรฟีเข้าตู้โชว์มากมาย อาทิ แชมป์ไทย พรีเมียร์ ลีก 3 สมัย พ่วงดาวซัลโวและนักเตะยอดเยี่มในปี 2012, ดาวซัลโวอาเซียนแชมเปียนชิป2 สมัย และเหรียญทองซีเกมส์
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
บุคคลที่ฮอตที่สุดในวงการกีฬาบ้านเราเวลานี้คงจะหนีไม่พ้น “เจ้ามุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา หัวหอกทีมชาติไทย ในฐานะนักฟุตบอลไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ย้ายไปร่วมทีมในศึก ลา ลีกา สเปน กับ อัลเมเรีย แต่คำถามคือใครจะเป็นรายต่อไปที่ประสบความสำเร็จถึงจุดนี้บ้าง ซึ่งการที่ ธีรศิลป์ ได้เบิกทางไปก่อนหน้าจึงถือเป็นกรณีศึกษาอย่างดีให้กับนักเตะรุ่นหลัง หรือจะเรียกว่า “มุ้ย โมเดล” ก็คงไม่ผิดนัก
อย่างที่ทราบกันดี ธีรศิลป์ ผ่านประสบการณ์มามากมายทั้งในประเทศและต่างแดน ดังนั้น หากเราจะใช้มาตรฐานของเจ้าตัวมาวัดเป็นขั้นบันไดเพื่อเป็นแนวทางให้รุ่นน้องได้ก้าวตามสู่ความสำเร็จ นอกจากความสามารถและพรสวรรค์ส่วนตัวแล้ว เส้นทางที่แข้งวัย 26 ปีรายนี้เดินขึ้นมาสามารถแบ่งหลักๆ ได้ 5 ขั้น ดังต่อไปนี้
1. แจ้งเกิดจากเวทีเด็ก : เป็นเรื่องธรรมดาที่นักเตะระดับสตาร์จะเริ่มฉายแววตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งแม้สมัยวัยเยาว์ชื่อของ ธีรศิลป์ อาจไม่โด่งดังเท่าเพื่อนนักเตะรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เจ้าตัวก็ประสบความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการพาทีม โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี คว้าอันดับ 5 ศึกฟุตบอลเยาวชน 15 ปี “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ คัพ” รอบ เวิลด์ ไฟนอล ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นอันดับที่ดีที่สุดของแข้งจิ๋วไทยจนถึงทุกวันนี้ ก่อนจะเป็นกำลังสำคัญพา “เจ้าสัวน้อย” ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลเยาวชน 17 ปี ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย “โค้กคัพ” ครั้งที่ 13 พร้อมได้สิทธิ์ไปฝึกซ้อมที่ประเทศบราซิล 1 สัปดาห์ เรียกได้ว่าฮอตตั้งแต่เด็กเลยทีเดียว
2. ก้าวสู่บิ๊กทีม : ปฏิเสธไมได้เลยว่าการจะเป็นที่สนใจของแมวมองต่างชาตินั้น การอยู่สโมสรใหญ่ย่อมได้รับการเพ่งเล็งเป็นอันดับแรก และ “เจ้ามุ้ย” เองก็ได้รับโอกาสกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ซึ่งแม้ในเวลานั้นจะยังอยู่เพียงระดับ ดิวิชัน 2 แต่เจ้าตัวก็เป็นกำลังหลักพาทีมคว้าแชมป์ไต่ระดับได้สำเร็จก่อนจะฝากชื่อเป็นตำนานของสโมสรในปัจจุบัน ที่สำคัญการได้อยู่กับทีมระดับท็อปของประเทศ นั่นหมายถึงโอกาสต่างๆ ที่จะตามมาในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการได้โชว์ฟอร์มในฟุตบอลถ้วยสโมสรเอเชีย หรือโอกาสจากคอนเน็คชันต่างๆ ของต้นสังกัดด้วยเช่นกัน
3. สร้างชื่อทีมชาติ : ต่อจากการเล่นได้เล่นให้กับสโมสรชั้นนำ อีก 1 สิ่งที่จะสามารถเตะตาแมวมองได้คงหนีไม่พ้นผลงานในนามทีมชาติ ซึ่งแม้ “ช้างศึก” จะผลงานลุ่มๆดอนๆ แต่ “เจ้ามุ้ย” ที่ก้าวติดชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 19 ปี ก็ยังรักษามาตรฐานทำประตูได้อย่างต่อเนื่องระเบิดไป 29 ประตู จาก 60 นัดที่ลงเล่น พร้อมสร้างชื่อในการเป็นดาวยิงระดับแถวหน้าของอาเซียน
4. ประสบการณ์ต่างแดน : สิ่งที่ผู้บริหารทีมอัลเมเรียและแฟนบอลสเปน ให้ความสนใจในตัว ธีรศิลป์ ไม่ใช่เป็นเพราะความเป็นแข้งไทยรายแรก แต่เป็นการที่เจ้าตัวมีประวัติเคยร่วมซ้อมกับทีมดังอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี, กราสฮอปเปอร์ ซูริค และ แอตเลติโก มาดริด ซึ่งแม้จะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังแต่ก็เป็นโปรไฟล์ชิ้นดีให้มองข้ามไม่ได้ ดังนั้น บันไดขั้นนี้จึงถือเป็นหัวใจเลยก็ว่าได้ในการจะก้าวขึ้นสู่เวทีโลก และยิ่งมองย้อนกลับไป “เจ้ามุ้ย” นั้นบ่มเพาะเรียนรู้ความเป็นมืออาชีพจากทีมในต่างแดนมาเต็มกระเป๋า
5. การันตีด้วยรางวัล : เมื่อก้าวขึ้นบันไดทั้ง 4 ขั้นอย่างมั่นคง สิ่งที่จะการันตีความสามารถของนักเตะได้อย่างเป็นรูปธรรมก็คือถ้วยรางวัล โดยที่ผ่านมา “มุ้ย” เก็บโทรฟีเข้าตู้โชว์มากมาย อาทิ แชมป์ไทย พรีเมียร์ ลีก 3 สมัย พ่วงดาวซัลโวและนักเตะยอดเยี่มในปี 2012, ดาวซัลโวอาเซียนแชมเปียนชิป2 สมัย และเหรียญทองซีเกมส์
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
