คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
ตั้งแต่ประเทศไทยของเราโดนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ “คสช.” เข้ามายึดอำนาจปกครองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พร้อมผุดนโยบายคืนความสุขให้คนในชาติ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้งเรื่องใหญ่ๆ อย่างการวางแนวทางปฏิรูปประเทศในทุกด้าน อาทิ ด้านการเมืองด้วยการจับเอาคู่ขัดแย้งโดยตรงมาขึ้นเวทีร้องเพลงกลางสนามหลวงกับสีหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเปี่ยมสุขของแกนนำบางกลุ่ม บางขั้ว แม้ส่วนตัวมองว่าเป็นภาพที่ดูแล้วออกไปทางขำขันมากกว่าจะน่าเชื่อถือจริงจัง แต่ก็เป็นความพยายามที่ดี, ด้านกฎหมาย ก็อย่างที่ทราบว่านอกจากมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวออกมาแล้ว ยังมีความพยายามสังคายนากฎหมายทั้งระบบ, ด้านการคมนาคม มีการพยายามร่างแผนและวางโครงข่ายการขนส่งของประเทศไทยเสียใหม่ให้ทันโลกทันยุคมากยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องเล็กๆ หยุมหยิมที่ไม่คิดว่าจะกล้า ก็ดันกล้า อาทิ การคืนความสุขด้วยการนำฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายมาถ่ายทอดสดให้แฟนบอลได้ชมผ่านฟรีทีวี ซึ่งแม้ว่าจะบอกว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นการกระทำของ “กสทช.” ทว่าในความเป็นจริงถ้าไม่มีไฟเขียวจากผู้กุมอำนาจสูงสุดมี หรือจะกล้าหาญนำเงิน 400 กว่าล้านมายัดใส่กระเป๋าสตางค์ของ “เฮียฮ้อ” ขณะที่เรื่องอื่นๆ ไล่ตั้งแต่จัดระเบียบวินมอเตอร์ไซค์ จัดระเบียบรถตู้ กวาดล้างมาเฟียคุมสถานที่ท่องเที่ยว ล่าสุดนี้ยืนเท้าที่ใส่ท็อปบูตไปปัดกวาดร้านอาหารทะเลขูดรีดเกินราคาที่หัวหินเข้าให้อีก เลยเกิดอาการ “มโน” ขึ้นมาโดยเฉียบพลัน
มโนแรก ที่อยากได้ อยากเห็น คสช. ยืนมือ มาจัดการสะสางปัญหาเรื่องกีฬาของประเทศไทยบ้าง คือ อยากให้รบกวนช่วยแยกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ออกจากกันเสียสักทีจะเป็นพระคุณอย่างสูง เพราะงานทั้งสองด้านนี้มันไม่เกี่ยว และไม่เข้ากันเอามากๆ ซึ่งตั้งแต่ตั้งกระทรวงขึ้นมาใน พ.ศ. 2545 มีเพียง 1 รัฐมนตรีช่วยว่าการ คือ ดร.ณัฐ อินทรปาณ ที่ดูรู้เรื่องและได้รับมอบหมายงานเฉพาะกิจสำหรับมาดูแลเรื่องการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ที่จังหวัดนครราชสีมา เท่านั้น ที่เหลือก็ดูแล้วเฉยๆ แม้จะมีคนมองว่าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงนี้มีน้อย เพราะมีเพียง กรมพลศึกษา, กรมการท่องเที่ยว, สถาบันการพลศึกษา, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และการกีฬาแห่งประเทศไทย แต่ต้องไม่ลืมว่างานด้านท่องเที่ยวนี่เป็นงานหลัก งานใหญ่ ที่ต้องดูแลครอบคลุมทั่วประเทศ เนื่องจากรายได้หลักของประเทศนี้ก็มาจากการท่องเที่ยวนี่แหละ
เช่นเดียวกัน งานด้านกีฬาชาติ ที่มีทั้งสถาบันพลศึกษา, กรมพลศึกษา และการกีฬาแห่งประเทศไทย ก็มีศูนย์ประจำภูมิภาคต่างๆ ให้ต้องจัดการอีกมาก แยกกันเสีย แล้วนำคนมีความรู้ความสามารถตามสายงานมาควบคุมจะดีกว่า คิดดูว่าภาพที่เราเห็นทุกวันนี้คือการดูท่านปลัดกระทรวงที่เติบโตมากับกรมพลศึกษา มาพูดถึงงานด้านการท่องเที่ยวของประเทศ ตลกร้ายไปไหม
มโนที่สอง อยากให้ช่วยกวาดนักการเมืองในระบบ และนอกระบบออกจากวงการกีฬาหน่อยก็ดี เพราะทุกวันนี้งานด้านกีฬาของชาติกลายเป็นงานอดิเรกหรือของเล่นของนักการเมืองหลายๆ คนที่มาอาศัยชื่อเสียงและเกียรติภูมิแห่งวงการกีฬามาสร้างบารมีให้ตัวเองเสียก็มาก ที่เขาทำดีก็ขออภัย แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นนี่น่าเบื่อเหลือทน ยกตัวอย่างนักการเมืองบางคน กระสันอยากลงสมัคร สส.จนตัวสั่น แต่ว่ามันไม่มีประวัติทำชื่อเสียงอะไรให้ประเทศ (ใน) ชาตินี้ (และอาจรวมชาติหน้าด้วย) ไอ้ครั้นจะไปหาเสียงว่าจะทำโน่น ทำนี่ เหมือนผู้แทนสมัยโบราณมันก็ยาก เขาทำกันไปเยอะแล้ว อย่ากระนั้นเลย ลงเงินช่วยสโมสรฟุตบอลในพื้นที่ แล้วก็เอาสิ่งนี้ไปเป็นจุดเด่นในการเลือกตั้ง พอเลือกเสร็จแล้วไม่ได้ดังใจหวังก็ถอดใจเลิกทำทีม แบบนี้ก็ส่งผลเสียต่อทีมในภายหลัง บางทีมถึงขั้นตกชั้นกันไปก็มี
นี่ยังไม่รวมกลุ่มก๊วนที่ทำมาหากินกับสมาคมกีฬาต่างๆ หลายคนเป็นทหารมาเฟียคุมผับคุมบาร์มาแท้ๆ พออยากมีคนเรียกขานในด้านความดีงามกับเขาบ้างก็มายึดสมาคมกีฬาเป็นที่ชุบตัวนี่แหละ หลายนายพลที่มาแล้วขยันขันแข็งทำเรื่องดีๆ ก็ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ชุบตัวได้บ้าง แต่กับ “เสธ.” ทหารบางนายก็ไม่ไหว พ่อเป็นกรรมการมวยเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ลูกมาคุมกรรมการบอลโดนคนก่นด่าไปทั่ว แถมยังมีข่าวทำมาหากินกับการตัดสิน แบบนี้ “บิ๊ก คสช.” ทั้งหลายยังจะปล่อยไว้อีกหรือครับ...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
ตั้งแต่ประเทศไทยของเราโดนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ “คสช.” เข้ามายึดอำนาจปกครองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พร้อมผุดนโยบายคืนความสุขให้คนในชาติ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้งเรื่องใหญ่ๆ อย่างการวางแนวทางปฏิรูปประเทศในทุกด้าน อาทิ ด้านการเมืองด้วยการจับเอาคู่ขัดแย้งโดยตรงมาขึ้นเวทีร้องเพลงกลางสนามหลวงกับสีหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเปี่ยมสุขของแกนนำบางกลุ่ม บางขั้ว แม้ส่วนตัวมองว่าเป็นภาพที่ดูแล้วออกไปทางขำขันมากกว่าจะน่าเชื่อถือจริงจัง แต่ก็เป็นความพยายามที่ดี, ด้านกฎหมาย ก็อย่างที่ทราบว่านอกจากมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวออกมาแล้ว ยังมีความพยายามสังคายนากฎหมายทั้งระบบ, ด้านการคมนาคม มีการพยายามร่างแผนและวางโครงข่ายการขนส่งของประเทศไทยเสียใหม่ให้ทันโลกทันยุคมากยิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องเล็กๆ หยุมหยิมที่ไม่คิดว่าจะกล้า ก็ดันกล้า อาทิ การคืนความสุขด้วยการนำฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายมาถ่ายทอดสดให้แฟนบอลได้ชมผ่านฟรีทีวี ซึ่งแม้ว่าจะบอกว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นการกระทำของ “กสทช.” ทว่าในความเป็นจริงถ้าไม่มีไฟเขียวจากผู้กุมอำนาจสูงสุดมี หรือจะกล้าหาญนำเงิน 400 กว่าล้านมายัดใส่กระเป๋าสตางค์ของ “เฮียฮ้อ” ขณะที่เรื่องอื่นๆ ไล่ตั้งแต่จัดระเบียบวินมอเตอร์ไซค์ จัดระเบียบรถตู้ กวาดล้างมาเฟียคุมสถานที่ท่องเที่ยว ล่าสุดนี้ยืนเท้าที่ใส่ท็อปบูตไปปัดกวาดร้านอาหารทะเลขูดรีดเกินราคาที่หัวหินเข้าให้อีก เลยเกิดอาการ “มโน” ขึ้นมาโดยเฉียบพลัน
มโนแรก ที่อยากได้ อยากเห็น คสช. ยืนมือ มาจัดการสะสางปัญหาเรื่องกีฬาของประเทศไทยบ้าง คือ อยากให้รบกวนช่วยแยกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ออกจากกันเสียสักทีจะเป็นพระคุณอย่างสูง เพราะงานทั้งสองด้านนี้มันไม่เกี่ยว และไม่เข้ากันเอามากๆ ซึ่งตั้งแต่ตั้งกระทรวงขึ้นมาใน พ.ศ. 2545 มีเพียง 1 รัฐมนตรีช่วยว่าการ คือ ดร.ณัฐ อินทรปาณ ที่ดูรู้เรื่องและได้รับมอบหมายงานเฉพาะกิจสำหรับมาดูแลเรื่องการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ที่จังหวัดนครราชสีมา เท่านั้น ที่เหลือก็ดูแล้วเฉยๆ แม้จะมีคนมองว่าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงนี้มีน้อย เพราะมีเพียง กรมพลศึกษา, กรมการท่องเที่ยว, สถาบันการพลศึกษา, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และการกีฬาแห่งประเทศไทย แต่ต้องไม่ลืมว่างานด้านท่องเที่ยวนี่เป็นงานหลัก งานใหญ่ ที่ต้องดูแลครอบคลุมทั่วประเทศ เนื่องจากรายได้หลักของประเทศนี้ก็มาจากการท่องเที่ยวนี่แหละ
เช่นเดียวกัน งานด้านกีฬาชาติ ที่มีทั้งสถาบันพลศึกษา, กรมพลศึกษา และการกีฬาแห่งประเทศไทย ก็มีศูนย์ประจำภูมิภาคต่างๆ ให้ต้องจัดการอีกมาก แยกกันเสีย แล้วนำคนมีความรู้ความสามารถตามสายงานมาควบคุมจะดีกว่า คิดดูว่าภาพที่เราเห็นทุกวันนี้คือการดูท่านปลัดกระทรวงที่เติบโตมากับกรมพลศึกษา มาพูดถึงงานด้านการท่องเที่ยวของประเทศ ตลกร้ายไปไหม
มโนที่สอง อยากให้ช่วยกวาดนักการเมืองในระบบ และนอกระบบออกจากวงการกีฬาหน่อยก็ดี เพราะทุกวันนี้งานด้านกีฬาของชาติกลายเป็นงานอดิเรกหรือของเล่นของนักการเมืองหลายๆ คนที่มาอาศัยชื่อเสียงและเกียรติภูมิแห่งวงการกีฬามาสร้างบารมีให้ตัวเองเสียก็มาก ที่เขาทำดีก็ขออภัย แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นนี่น่าเบื่อเหลือทน ยกตัวอย่างนักการเมืองบางคน กระสันอยากลงสมัคร สส.จนตัวสั่น แต่ว่ามันไม่มีประวัติทำชื่อเสียงอะไรให้ประเทศ (ใน) ชาตินี้ (และอาจรวมชาติหน้าด้วย) ไอ้ครั้นจะไปหาเสียงว่าจะทำโน่น ทำนี่ เหมือนผู้แทนสมัยโบราณมันก็ยาก เขาทำกันไปเยอะแล้ว อย่ากระนั้นเลย ลงเงินช่วยสโมสรฟุตบอลในพื้นที่ แล้วก็เอาสิ่งนี้ไปเป็นจุดเด่นในการเลือกตั้ง พอเลือกเสร็จแล้วไม่ได้ดังใจหวังก็ถอดใจเลิกทำทีม แบบนี้ก็ส่งผลเสียต่อทีมในภายหลัง บางทีมถึงขั้นตกชั้นกันไปก็มี
นี่ยังไม่รวมกลุ่มก๊วนที่ทำมาหากินกับสมาคมกีฬาต่างๆ หลายคนเป็นทหารมาเฟียคุมผับคุมบาร์มาแท้ๆ พออยากมีคนเรียกขานในด้านความดีงามกับเขาบ้างก็มายึดสมาคมกีฬาเป็นที่ชุบตัวนี่แหละ หลายนายพลที่มาแล้วขยันขันแข็งทำเรื่องดีๆ ก็ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ชุบตัวได้บ้าง แต่กับ “เสธ.” ทหารบางนายก็ไม่ไหว พ่อเป็นกรรมการมวยเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ลูกมาคุมกรรมการบอลโดนคนก่นด่าไปทั่ว แถมยังมีข่าวทำมาหากินกับการตัดสิน แบบนี้ “บิ๊ก คสช.” ทั้งหลายยังจะปล่อยไว้อีกหรือครับ...
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *