ASTV ผู้จัดการรายวัน – กีฬามวยถือเป็นการต่อสู้ของสุภาพบุรุษ ยามขึ้นสังเวียนต้องห้ำหั่นกันชนิดไม่มีใครยอมใครถึงขั้นเลือดตกยางออก จนกระทั่งสิ้นเสียงระฆังทุกอย่างจึงยุติ แต่ทุกวันนี้กลับมีผู้ไม่ประสงค์ดีนอกเวทีมากมายที่จ้องหาประโยชน์จากตัวนักมวยเพียงเพื่อผลลัพธ์ทางการพนันและหนักข้อถึงขั้นใช้วิธี “วางยา” ให้นักมวยไม่มีแรงสู้ ซึ่งภัยมืดนอกผืนผ้าใบนี้รุนแรงขึ้นถึงขั้นทำลายอนาคตของนักมวยและวงการเลยทีเดียว
ภายในระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา เกิดเหตุมีนักมวยถูกวางยาจนเป็นข่าวดังถึง 4 ราย ไล่ตั้งแต่ เขียวไพลิน ส.กิตติชัย ที่วูบหมดสติคาเวทีระหว่างชก เมื่อเดือนเมษายน ตามด้วย กระต่ายขาว ศิษย์อุดมชัย ที่โดนเล่นงานก่อนขึ้นชกจนต้องยกเลิกไฟต์ เมื่อเดือนมิถุนายน กระทั่งล่าสุดสองรายซ้อน เสกสรร อ.ขวัญชัย กับ เพชรอู่ทอง อ.ขวัญเมือง ที่วูบคากล้องระหว่างให้สัมภาษณ์หลังขึ้นชกไม่ได้ เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้คนในวงการมวยถึงกับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีแต่จะทำลายวงการ โดย “เสี่ยโบ๊ท” ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ โปรโมเตอร์หนุ่มไฟแรง เพชรยินดี บ๊อกซิ่ง โปรโมชั่น จำกัด กล่าวว่า การวางยานักมวยนั้นมีมานานแล้ว “การวางยามีมานานแล้ว แต่ระยะหลังนี่เริ่มใช้ยาแรงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นยาขับปัสสาวะ เมื่อนักมวยโดนเข้าไปก็จะปัสสาวะไม่หยุดจนร่างกายอ่อนเพลีย ซึ่งผมมองว่าเลวร้ายยิ่งกว่าการจ้างล้มมวยเสียอีก เพราะเป็นการทำลายชีวิตนักมวยเลยทีเดียว เด็กบางคนต้องพักเกือบครึ่งปีกว่าจะกลับมาขึ้นชกได้อีกครั้ง”
สำหรับวิธีการวางยานั้น “เสี่ยโบ๊ท” เผยว่าส่วนใหญ่จะใช้การใส่ลงไปในเครื่องดื่มชูกำลัง “พวกนี้จะใช้วิธีผสมยาใส่เครื่องดื่มชูกำลังแล้วนำไปสับเปลี่ยนตามร้านสะดวกซื้อละแวกใกล้สนามแข่งขัน และอีกวิธีคือจ้างพี่เลี้ยงของนักมวยให้เอาเครื่องดื่มที่ผสมยาให้กิน ซึ่งส่วนมากก็ไม่สามารถจับคนลงมือได้ มีบางเคสที่จับได้อย่างกรณีของ กระต่ายขาว แต่สุดท้ายเมื่อเรื่องถึงตำรวจก็เงียบไปหรือไม่ก็โดนโทษเบาเช่นทำร้ายร่างกาย ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีลงมือกันเองเสียมากกว่า หรือพูดง่ายๆ คือจับตัวคนทำมากระทืบ”
ด้าน สามารถ พยัคฆ์อรุณ ตำนานนักชกชื่อดัง เผยว่า “คนวางยามันไม่มีจิตสำนึก สมัยผมไม่ค่อยมีพวกวางยา มีแต่จ้างล้มมวย แต่เดี๋ยวนี้จ้างไม่ได้ เพราะราคาแพงจึงหันไปใช้วิธีนี้แทน ซึ่งการสับเปลี่ยนขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่ร้านสะดวกซื้อนั้นส่วนใหญ่เป็นการสุ่มไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นนักมวยคนไหน โดยพวกคนร้ายจะคอยจับตาดูว่ามีนักมวยหรือพี่เลี้ยงของค่ายไหนหยิบไปบ้าง แล้วจึงแจ้งไปที่คนว่าจ้างให้เล่นฝั่งตรงข้าม ดังนั้นหากยาออกฤทธิ์ตอนชกก็เป็นไปตามแผน แต่ถ้าออกฤทธิ์ก่อนและนักมวยขึ้นชกไม่ได้ พวกมันก็ไม่สนใจ ไม่คิดถึงตัวนักมวยว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง คิดจะเอาแต่ได้อย่างเดียว”
พร้อมกันนี้ “เพชฌฆาตหน้าหยก” ยังกล่าวถึงประสบการณ์ตรงที่เคยทานยาขับปัสสาวะก่อนชกว่า “ผมเคยใช้ยาขับปัสสาวะชื่อลาซิกซ์ เพื่อลดน้ำหนักตอนป้องกันแชมป์โลก แต่ปรากฏว่าต้องเข้าห้องน้ำไม่หยุด ร่างกายเพลียมากเหมือนไม่มีน้ำอยู่เลย จนแพ้ไปในที่สุด ซึ่งกว่าอาการจะดีขึ้นก็เกือบ 24 ชั่วโมงให้หลัง แต่ตอนนี้ยิ่งคนร้ายใช้ยาแรงขึ้นด้วยแล้วลองคิดดูว่านักมวยจะหมดสภาพขนาดไหน”
ขณะที่วิธีป้องกันนั้น อดีตกำปั้นวัย 51 ปี ในฐานะเจ้าของค่ายมวยภพธีรธรรม เผยว่า “ค่ายผมจะนำอาหาร น้ำ และเครื่องดื่มชูกำลังไปเอง หรือไม่ก็ไปหากินร้านอาหารไกลๆ จะไม่ให้นักมวยกินละแวกเวทีเด็ดขาด ส่วนเรื่องเทรนเนอร์นั้นผมจะดูก่อนเลยว่าเขาเล่นพนันไหม ถ้าเล่นก็จะไม่รับ เพราะพวกนี้มีโอกาสสูงที่จะลงมือ”
เช่นเดียวกับ เจริญทอง เกียรติบ้านช่อง อีก 1 ตำนานมวยที่กล่าวในลักษณะเดียวกันว่า “เหมือนเป็นการตัดอนาคตเด็ก นักมวยมีแต่เสียกับเสีย เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นค่ายก็ไม่อยากให้ชก โปรโมเตอร์ก็ไม่อยากจัด แฟนมวยก็ไม่อยากดู ไม่อยากเล่น ซึ่งผมมองว่าคนทำส่วนใหญ่นี่คือคนใกล้ตัวทั้งนั้น พวกพี่เลี้ยงที่ได้ค่าจ้าง 5-6 พันบาทต่อเดือน พอมีคนจ้างสัก 2-3 หมื่นก็ทำแล้ว ดังนั้น ค่ายต้องคอยดูแลเทรนเนอร์ให้ดี ถ้ามีปัญหาทางการเงินก็ให้บอก เพราะเมื่อก่อนจะมีผู้ใหญ่ของวงการคอยดูแลอยู่ พวกนี้จึงไม่มีใครกล้า แต่ทุกวันนี้ต่างค่ายต่างแรงและไม่มีคนกลางคอยคุมจึงไม่มีใครกลัวใคร ส่วนกฎหมายมวยที่มีนั้นก็ไม่ชัดเจน ไม่สามารถเข้ามาดูแลได้”
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีนักมวยถูกวางยามากมาย แต่สุดท้ายแทบจะจับตัวผู้กระทำผิดหรือคนบงการมาลงโทษตามกฎหมายไม่ได้เลย จนใครหลายคนมองว่ายากที่จะไร้ทางแก้ ซึ่ง สกล วรรณพงษ์ รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ที่ดูแลสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย กล่าวว่า มีบทลงโทษรองรับอยู่แล้ว “การวางยานักมวยนั้นมีโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้น จึงอยากให้ผู้เสียหายรวบรวมหลักฐานเข้ามาแจ้งกับทางคณะกรรมการได้เลย เพื่อนำไปพิสูจน์โดยหลักนิติวิทยาศาสตร์เช่นการตรวจเลือดหรือปัสสาวะ ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะลงมือกันเองโดยกฎหมายไปไม่ถึง สำหรับผู้ทำผิดนั้น ตามพระราชบัญญัติกีฬามวย มาตรา 6 ว่าด้วย ผู้ใดปลอมปนอาหาร ยา หรือเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นใด เพื่อให้นักมวยเสพย์หรือใช้ และการปลอมปนนั้นน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพหรือทำให้นักมวย เสื่อมถอยกำลังที่จะชกมวยได้ ต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *