คุณผีที่รัก ตอนที่ 4
วันใหม่...พีระยืนยิ้มแฉ่งอยู่ต่อหน้าเพื่อนๆของน้ำมนต์ ในมหาวิทยาลัย
“สวัสดีครับ ผมชื่อพีระ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ลูกโป่งยิ้มแฉ่งสุดๆ พิมพ์ดาวยิ้มเก้อๆ อัฐชัยเบือนหน้าหนี
“พีระทักทายพวกแกแล้ว” น้ำมนต์หันมาบอกลูกโป่ง
ลูกโป่งรีบทักทายทันที
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ถ้าสะดวกใจก็ยินดีที่จะให้มารู้ใจด้วยนะคะ”
“ขอบคุณครับ” พีระยิ้ม
“คุณผีเขาว่าไง โอเคกับฉันมั้ย” ลูกโป่งถามน้ำมนต์
“โอเคมาก”
“ฉันก็...โอเคนะ เป็นมิตรด้วยก็ได้ ขอแค่อย่ามาหลอกหลอนให้ฉันหัวใจวายก็แล้วกัน” พิมพ์ดาวยิ้มแหยๆ ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องคบผีเป็นเพื่อน
“ดีมาก” น้ำมนต์เหล่อัฐชัย “อัฐ...เหลือแกคนเดียวแล้ว”
“อย่าลีลาน่า น้ำมนต์อยากให้เรารู้จัก เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จะได้อยู่กันอย่างสงบๆ” พีระมองอัฐชัย
“ฉันไม่อยากมีเพื่อนเป็นผี”
อัฐชัยเดินหนีไปเลย น้ำมนต์เซ็ง พีระห้ามไม่ให้น้ำมนต์ตาม
“ไม่ต้อง...เดี๋ยวผมเคลียร์เอง”
อัฐชัยเดินแยกมาที่อีกด้าน แต่แล้วอยู่ๆแขนที่แกว่งปกติก็เหมือนถูกใครคว้าข้อมือ แล้วลากจูงเข้าไปในห้องชมรมการแสดง อัฐชัยงง
“เฮ้ยๆ”
พีระจูงมืออัฐชัยลากเข้าไป พีระหันกลับมาบอกพวกน้ำมนต์ที่ตามเข้ามา
“ไม่ต้องห่วง แค่จะคุยกันแบบแมนๆ”
ประตูห้องปิดทันที...ปึง พีระเหวี่ยงอัฐชัยเข้าไปในห้อง
“แกต้องการอะไร จะฆ่าฉันเหรอ” อัฐชัยโวย
“แกฉันเลยเหรอ ไม่สุภาพเลย...ผมไม่ฆ่าคุณหรอกครับ ผมแค่อยากเปิดใจคุยกับคุณ...เอิ่ม...”
พีระรู้ว่าอัฐชัยไม่ได้ยิน มองหาวิธีสื่อสาร พอดีเห็นหุ่นกระบอกมือรูปกระต่ายน้อยน่ารัก เลยไปเอาหุ่นนั้นสวมมือ และคว้าโทรโข่งอีกมือหนึ่ง แล้วเชิดหุ่นคุยผ่านโทรโข่ง
“คุณอัฐชัยสุดหล่อ ช่วยบอกกระต่ายน้อยแสนกลที ว่ากระต่ายน้อยต้องทำยังไง สุดหล่อถึงจะยอมรับกระต่ายน้อยเป็นมิตรได้”
“ฉันไม่เป็นมิตรกับผี”
“ทำไมล่ะ กระต่ายน้อยไม่เข้าใจ”
“หยุดเรียกตัวเองว่ากระต่ายน้อยได้มั้ย”
“ไม่ชอบเหรอตัวเอง” พีระมาพูดข้างหู
“อย่ามาพูดใส่หูฉันด้วย”
“ที่สุดหล่อไม่ยอมเป็นมิตรกับกระต่ายน้อย เพราะสุดหล่อหวงยัยน้ำเปล่าปลุกเสกใช่มั้ยล่ะ เค้ารู้”
“แกเรียกใครน้ำเปล่าปลุกเสกวะ หน็อย จะลบหลู่น้ำมนต์มากไปแล้ว...แกเลิกแอ๊บว่าเป็นผีแสนดีเถอะ ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ แกตั้งใจจะเอาน้ำมนต์ไปเป็นตัวตายตัวแทน ไม่ก็จะสิงสู่กลืนกินจิตวิญญาณของน้ำมนต์ จะได้บงการให้ทำอะไรก็ได้ใช่มั้ย”
“อ้าว พูดงี้มาต่อยกันเลยดีกว่า”
“ได้เลย”
อัฐชัยพุ่งเข้าต่อย แต่วืด เซจวนล้มไปชนข้าวของล้ม
น้ำมนต์ พิมพ์ดาว ลูกโป่ง อยู่หน้าห้องชมรม เงี่ยหูฟังเสียงจากด้านใน
“เสียงอะไร...แก...เขาตีกันแล้วแน่ๆเลย” พิมพ์ดาวหน้าตื่น
“เปิดประตู พีระ เปิด” น้ำมนต์เคาะประตู
“ว้าว เคลียร์กันด้วยการใช้กำลัง...แมนมากๆ...พวกแกไม่ต้องห่วงหรอก ลูกผู้ชายก็อย่างนี้แหละ สู้ๆนะคะคุณผี” ลูกโป่งตื่นเต้น
ในห้องชมรม...พีระเชิดกระต่ายทำท่าชกมวย อัฐชัยชกไป แต่วืดล้มไปอีกทาง
“สุดหล่อห่วงน้ำมนต์ก็ดีแล้ว แต่เค้าไม่ใช่ผีร้าย เค้าเป็นกระต่ายน้อย เค้าไม่เคยคิดจะทำร้ายน้ำมนต์เลยจริงๆ สาบานได้”
“ฉันไม่เชื่อ...แกอยู่ในบ้านกับน้ำมนต์สองต่อสอง ไม่มีทางที่แกจะไม่คิดลามก ผีอย่างแกก็คงจะฉวยโอกาสแอบดูน้ำมนต์ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือตอนที่ก้มๆเงยๆ หรือไม่ก็ตอนอาบน้ำ อย่าปฏิเสธ นี่มันเป็นสัญชาติญาณ น้ำมนต์ทั้งสวยทั้งขาวขนาดนี้ ไม่มีผู้ชายคนไหนจะอดใจไหว”
“อ้อ สุดหล่อพูดถูก ไม่มีใครจะอดใจไหว รวมถึงสุดหล่อด้วยใช่มั้ย”
“หา...” อัฐชัยอึ้ง
“เวลาที่น้ำมนต์ก้มๆเงยๆ หรือเวลาที่เผลอๆ สุดหล่อก็คงแอบมองตลอดเลยสินะ ก็น้ำมนต์ทั้งสวยทั้งขาวขนาดนี้”
“เฮ้ย ไม่ใช่ ฉันไม่เคยคิ...ด” อัฐชัยหน้าตื่น
พีระสวนทันที
“อย่าปฏิเสธ นี่มันเป็นสัญชาตญาณ...เค้าจะไปฟ้องน้ำมนต์”
พีระเชิดหุ่นจะออกไป แต่อัฐชัยรีบวิ่งไปขวางประตู
“ฉันไม่ให้ไป”
พีระจับอัฐชัยเหวี่ยงไป แล้วโผล่ออกมาด้านนอก พวกน้ำมนต์รอลุ้นอยู่
“น้ำมนต์ ผมมีเรื่องจะบอกคุณ...เรื่องอัฐชัย”
อัฐชัยรีบวิ่งตามออกมา
“อย่าพูดนะ”
“ตะกี้อัฐชัยเพิ่งยอมรับมาว่า ตลอดเวลาที่อยู่กับคุณ สัญชาตญาณของเขาตื่นตัวตลอดเวลา”
“สัญชาตญาณอะไร” น้ำมนต์งงๆ
“ตื่นตัวเลยเหรอ” ลูกโป่งตาโต
“มันก็หมายถึง...”
“ฉันยอมเป็นมิตรกับพีระแล้ว...จับมือ”
อัฐชัยยื่นมือรอ เพราะไม่อยากให้พีระพูดออกไป
“สัญชาตญาณความเป็นชาย มันบอกฉันว่าพีระ ไว้ใจได้ เพราะฉะนั้น เราจะเป็นมิตรกัน จับมือ”
พีระยิ้ม สมใจ
“จะจับดีไหมนะ”
“จับ”
“อ่ะๆ จับก็จับ...เราดีกันแล้วนะ”
“เออ”
อัฐชัยพูดห้วนๆ แล้วดึงมือออก เดินหนีไปทันที พิมพ์ดาวงง รีบตามไป น้ำมนต์มองอัฐชัย แล้วมองพีระอย่างสงสัย
“นายทำอะไรอัฐ”
พีระเสียงสูง
“เปล่า...เราก็แค่มีความเห็นเกี่ยวกับคุณตรงกัน หึๆ”
อีกด้านของมหาวิทยาลัย...อัฐชัยเดินจ้ำหนีมา พิมพ์ดาวรีบตามมา
“อัฐ...เป็นอะไร”
“มันเป็นผีเลว มันรู้ทันฉัน”
“รู้ทันยังไง”
“มันรู้ว่าฉันคิดอะไรกับน้ำมนต์น่ะสิ”
“แล้วอัฐคิดอะไร”
“ก็คิดเรื่องขา...ว...เฮ้ย...อย่าถามมากได้มั้ย ธุระแกหรือไง รู้แค่ว่าฉันเกลียดมัน และจะไม่มีทางเป็นเพื่อนกันมันเด็ดขาด”
“แต่ฉันว่านายควรทำให้ได้นะ”
“หือ...นี่แกเข้าข้างไอ้ผีพีระอีกคนเหรอ”
“เป็นศัตรูกับเขาแล้วได้อะไร มีแต่จะทำให้น้ำมนต์ยิ่งถอยห่างจากแกมากขึ้น...เวลาน้ำมนต์จะไปไหนมาไหนกับผีพีระ ก็จะไม่บอกแก เพราะเดี๋ยวแกจะโวยวายหาเรื่อง ก็เลยจะงุบงิบไปกับผีสองต่อสอง แกไม่คิดว่ามันยิ่งอันตรายเหรอ”
“เออ จริงด้วย ฉันคือฮีโร่ ที่จะต้องคอยอยู่ช่วยเหลือน้ำมนต์จากผีร้าย ขอบใจแกมากนะดาว แกนี่มันเพื่อนรักฉันจริงๆ”
อัฐชัยกอดพิมพ์ดาวขอบคุณแบบเพื่อนกอดเพื่อน แต่พิมพ์ดาวเหวอจริงๆ
น้ำมนต์เดินตามคาดคั้นพีระ
“นายทำอะไรอัฐ”
“ไม่ได้ทำอะไรเลย เราเจรจาตกลงกันได้ด้วยดี”
น้ำมนต์ขวางหน้า ชี้หน้าคาดคั้น
“นายไปข่มขู่ บีบบังคับ ใช้กำลังกับอัฐใช่มั้ย”
“แหม ท่าจะห่วงอัฐชัยมากนะเนี่ย”
“อะไร”
“ผมรู้ ที่พาผมมาผูกมิตรกับเพื่อนๆ ไม่ใช่เพราะอยากช่วยผมหรอก แต่เพราะคุณแคร์ความรู้สึกเพื่อนที่มีอักษรย่ออ.อ่างมากกว่า ใช่มั้ยล่ะ”
น้ำมนต์อึ้ง จะเดินกลับไป แต่อัฐชัยกับพิมพ์ดาวเข้ามา
“น้ำมนต์...พีระยังอยู่หรือเปล่า”
“มาพอดีเลย รู้หรือเปล่าว่าน้ำมนต์ชอบนาย” พีระพูดเพราะรู้ว่าไม่มีใครได้ยิน
“เฮ้ย” น้ำมนต์ตกใจ
“น้ำมนต์ไม่อยากให้เพื่อนเสียใจ ไม่งั้นลงเอยกับนายไปแล้ว”
“เงียบ” น้ำมนต์ตวาด
“มีอะไรเหรอ พีระเขาพูดอะไรเหรอ” พิมพ์ดาวสงสัย
“บอกไปสิจ้ะ” พีระกวนๆ
“เขา...เขาบอกว่า พวกนายมาถามหาเขาทำไม” น้ำมนต์อึกอัก
“อ๋อ...อัฐมีเรื่องจะบอก” อัฐชัยรีบพูด “พีระ ตะกี้ที่ฉันทำท่าไม่ดี โทษทีนะ ฉันคิดได้แล้ว ทำไมคนกับผีจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ ยิ่งเป็นผีที่จิตใจดีอย่างนายด้วย จริงมั้ย...ต่อไปนี้เราเป็นเพื่อนกัน ใครทำนายเจ็บ มันต้องเจ็บกว่า”
“หือ...พูดจริงอ้ะ” พีระงงกับท่าที
“ฉันพูดจากส่วนลึกเลยนะ”
น้ำมนต์รีบตัดบท
“เข้าใจกันก็ดีแล้ว งั้นแยกย้ายได้ แยกๆ”
น้ำมนต์เดินแยกมา พีระรีบตาม
“ทำไมคุณไม่พูดออกไป”
น้ำมนต์หันขวับ ชี้หน้า
“หยุด...ฉันไม่ได้รักอัฐชัย”
พีระเหล่มองอย่างไม่เชื่อ
“โอเค ฉันรู้สึกดีที่อัฐชัยมาดูแล ช่วยเหลือทุกอย่าง แต่ไม่ได้รัก”
“คุณพยายามจะหลีกทางให้เพื่อนตัวเองมากกว่า”
“ดาวเหมาะสมกับอัฐมากกว่าใครทั้งนั้น”
“คิดไปเองเปล่า”
“พอ...อย่าทำให้เสียอารมณ์ วันนี้เลิกเร็วว่าจะไปช่วยตามเรื่องของนาย เดี๋ยวก็ไม่ไปซะหรอก”
“โอเค เงียบ”
พีระเม้มปากสนิท ไม่หืออืออีก น้ำมนต์แยกเขี้ยวใส่ หมั่นไส้ เดินหนี
ในร้านกาแฟเจ๊แมว...น้ำมนต์วางรูปของพีระลงบนโต๊ะ เจี๊ยบกับงอแงมองรูปนั้น พิจารณา
“ฉันอยากให้พี่ช่วยตามหาคนๆนี้หน่อย”
“ใครอ่ะ” เจี๊ยบสงสัย
“เพื่อน”
“แน่ใจเหรอคะว่าเพื่อน” งอแงมองรูป
“ฮ้า ใช่ เพื่อนจริงๆเหรอ” เจี๊ยบเพิ่งนึกได้
พีระที่นั่งอยู่ด้วย ขำๆ
“คุณนี่เสน่ห์แรงใช่ย่อยนะ มีคนมาชอบมากมาย หัวกระไดไม่แห้งเลย”
น้ำมนต์หันมาดุ
“เงียบ”
“พี่เจี๊ยบยังไม่ได้พูดอะไรเลย” เจี๊ยบนึกว่าด่าตน
น้ำมนต์อึกอัก แถไป
“เอ่อ...แต่...แต่พี่ก็คิดใช่มั้ยล่ะ คนในรูปเป็นแค่คนรู้จักแบบห่างๆ ห่างมากๆ ก็แค่นั้น”
“น้องน้ำมนต์แคร์ว่าพี่จะเข้าใจผิดด้วยเหรอ” เจี๊ยบโล่งอก ยิ้มออก “พี่รู้ว่า...หน้าตาเห่ยๆ โหลๆ กลมๆยังงี้ น้องน้ำมนต์ไม่ชอบหรอก มันต้องหน้าตาคมเข้ม มีเอกลักษณ์ แบบตายกี่ชาติก็หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว อย่างพี่เจี๊ยบ”
“ฝากพี่เอารูปไปสอบถามตำรวจที่พี่รู้จักทีนะพี่เจี๊ยบ”
“ตำรวจอีกแล้ว คดีคุณแม่น้องน้ำมนต์ ตั้งเกือบห้าปีแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย นี่จะฝากคดีใหม่อีกเหรอ”
พีระชะงักสงสัย
“คดีแม่ยัยน้ำเปล่าปลุกเสก...มีเรื่องอะไรเหรอ”
น้ำมนต์ไม่สนใจพีระ
“ก็ต้องพึ่งตำรวจนี่แหละค่ะ แล้วก็ฝากพี่กับพรรคพวกที่เป็นอาสาสมัครด้วยนะคะ เผื่อมีใครคุ้นหน้าบ้าง”
“ได้เลยครับ”
“จริงด้วย...เรื่องของคุณ ผมก็รู้แค่ว่าคุณต้องเลี้ยงน้องตามลำพัง แต่เกิดอะไรขึ้นกับพ่อและแม่คุณ ผมไม่เคยรู้เลย มีอะไรเหรอ” พีระพยายามถาม
น้ำมนต์ไม่สนใจ รีบเดินแยกจากไปทันที
น้ำมนต์เดินกลับบ้าน พีระตามถาม
“คุณเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวที่ทำงานหาเลี้ยงน้องชาย แต่คุณไม่เคยบอกผมเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวคุณ พ่อกับแม่คุณอยู่ไหน”
“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันได้มั้ย”
“อ้าวคุณ...เราเป็นเพื่อนกัน ผมจะรู้เรื่องของคุณบ้าง ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย”
“ฉันไม่อยากให้นายรู้”
“ทำไม”
“ไม่ทำไม แล้วก็ไม่ต้องถามอีก”
“บอกมาเถอะคุณ เผื่อมีอะไรช่วยได้ ผมก็อยากช่วย ตอบแทนที่คุณจะช่วยผมไง”
“ฉันไม่ต้องการอะไรให้ช่วย”
“แต่...” พีระอึ้ง
น้ำมนต์สวนทันที
“และถ้าอยากตอบแทน ช่วยอย่าทำให้ฉันอารมณ์เสียก็พอ”
พูดจบ น้ำมนต์เดินหนีเข้าไป พีระยิ่งสงสัยอยากรู้
“ทำไมต้องไม่อยากพูดถึงขนาดนี้ด้วย มีอะไรฝังใจเหรอ”
พีระเดินเข้ามาในบ้าน ยังคงสงสัยเรื่องของน้ำมนต์ เปิดดูตู้เก่าต่างๆ มุมที่น่าจะเป็นที่เก็บของของบ้าน จนในที่สุด เขาก็เจออัลบั้มรูปเก่าที่เก็บเอาไว้
“อัลบั้มรูปครอบครัวน้ำมนต์”
พีระรีบเปิดอัลบั้มนั้นดูอย่างสนใจ พบว่าในนั้น เป็นรูปของพ่อแม่และลูกสาวหนึ่งคน กับเด็กเล็กๆอีกหนึ่งคน ภาพบ่งบอกว่าเป็นครอบครัวที่ดูอบอุ่น รูปต่อไปเป็นรูปแม่กับน้ำมนต์ในวัยมัธยมต้นและข้าวต้มวัย 4ขวบ ซึ่งรูปต่อมาก็มีรูปของแม่และน้ำมนต์ ข้าวต้ม โดยไม่มีรูปพ่ออีกเลย
“ช่วงแรกก็ปกติดี...แล้วก็เหลือแต่แม่ แล้วก็มีแค่นี้”
อยู่ๆน้ำมนต์ออกมาเจอ
“ทำอะไร” น้ำมนต์เข้ามาดึงอัลบั้มรูป “ใครอนุญาตให้นายรื้อค้นข้าวของในบ้านของฉัน”
“ผมเข้าใจล่ะ พ่อคุณเสียไปตั้งแต่คุณยังเด็ก แล้วไม่นานแม่คุณก็เสียไปอีก คุณก็เลยต้องรับภาระดูแลข้าวต้มคนเดียว แล้วที่เจี๊ยบบอกว่าคดี...คดีอะไร”
น้ำมนต์เสียงแข็งใส่
“ไม่ต้องยุ่ง”
“หรือมีเหตุฆาตกรรม มันก็เลยฝังใจจนคุณไม่อยากพูดถึง ใช่มั้ย”
“ออกไปจากบ้านฉัน” น้ำมนต์โกรธ
“นี่คุณ...”
น้ำมนต์หยิบผ้ายันต์อาจารย์เทพออกมา
“คืนนี้นายออกไปนอนนอกบ้าน ไม่ต้องเข้ามาอีก ไป”
“นี่คุณยังเก็บผ้ายันต์เอาไว้อีกเหรอ”
พีระเดินถอยออกมานอกตัวบ้าน น้ำมนต์เอาผ้ายันต์แปะเอาไว้
“ผมก็แค่อยากช่วยคุณจริงๆนะ เพื่อนกันก็ต้องช่วยกันสิ”
“ถ้ายังอยากช่วยอยู่ก็นอนหน้าบ้านไป”
“อะไรวะ คนอุตส่าห์หวังดี”
“เลิกยุ่งเรื่องฉันเมื่อไหร่ ค่อยเข้ามา”
น้ำมนต์เอายันต์แปะทิ้งไว้ แล้วสะบัดหน้าเข้าบ้านไป
น้ำมนต์เดินกลับเข้ามา เห็นอัลบั้มรูปวางอยู่ สายตาสลดลง เดินเข้าไป แล้วเอาอัลบั้มรูปไปเก็บที่เดิม แต่พอหันกลับมาก็ต้องตกใจ เพราะพีระยืนอยู่
“นาย...นี่นายไม่กลัวยันต์อาจารย์เทพแล้วเหรอ”
“กลัว”
“แล้วเข้ามาได้ยังไง”
ข้าวต้มเข้ามาเพิ่งกลับจากโรงเรียน
“เค้าพามาเอง โกรธอะไรกันก็คุยกันดีๆสิครับ จะได้ถือไม้เท้ายอดทองตะบองยอดเพชร”
น้ำมนต์หันไปดุ
“ข้าวต้ม...นี่ เอาผ้ายันต์คืนพี่มา”
“ไม่...เดี๋ยวพี่แกล้งพี่พีระอีก” ข้าวต้มจับมือน้ำมนต์มาข้างหนึ่ง จับมือพีระมาข้างหนึ่ง “คุยกันนะครับ เค้าไม่รบกวน” ข้าวต้มยกมืออุดหู
น้ำมนต์ฮึดฮัด หันมาจ้องพีระ ตาเขียวปั๊ด
“ผมจะไม่ถามเรื่องที่คุณไม่อยากพูดแล้ว โอเค้” พีระเม้มปากสนิท
อยู่ๆมีเสียงอัฐชัยดังเข้ามาขัดจังหวะ
“น้ำมนต์...น้ำมนต์อยู่มั้ยครับ”
น้ำมนต์เดินออกมาหน้าบ้าน อัฐชัยยืนรออยู่
“อัฐ...มีอะไรเหรอ”
“พอดี อัฐมีของมาฝาก เอ่อ...หายไปไหนแล้ว”
แจ๊ว วิ่งเข้ามาพร้อมหอบเสื้อผ้าของน้ำมนต์ใส่ตะกร้ามาด้วย
“มองหาแจ๊วอยู่หรือเปล่าคะคุณอัฐ”
“เธอ เป็นใคร แล้วยุ่งอะไรกับเสื้อผ้าฉัน” น้ำมนต์ถามเสียงเข้ม
“อ๋อ พอดีแจ๊วเห็นเสื้อผ้าตากแห้งแล้ว อดใจไม่อยู่อ่ะค่ะ เดี๋ยวแจ๊วเอาไปรีดให้นะคะ” แจ๊ววิ่งเข้าไปเลย
น้ำมนต์พยายามเรียก
“เดี๋ยวก่อน...นี่มันอะไรกันอัฐ”
“อัฐจะให้แจ๊วมาอยู่ช่วยงานน้ำมนต์ที่บ้าน แจ๊วเป็นมืออาชีพเรื่องงานบ้าน น้ำมนต์จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำคนเดียว”
น้ำมนต์ไม่ค่อยชอบใจ
“อัฐ...อีกแล้วนะ”
“ก็อัฐเป็นห่วงนี่ ขอครั้งนี้ครั้งสุดท้าย แล้วอัฐจะไม่ทำอะไรให้น้ำมนต์อีกแล้ว นะ...พีระ นายอยู่แถวนี้ใช่มั้ย นายก็เห็นด้วยกับฉันใช่มั้ยว่าน้ำมนต์ควรจะมีคนช่วยทำงานบ้าน”
“ก็ดีนะคุณ จะได้ไม่ต้องเหนื่อย รับไว้เถอะ” พีระเห็นดีด้วย
น้ำมนต์หันไปจ้องพีระว่ายุ่งอะไรด้วย อยู่ๆมีเสียงข้าวต้มร้องดังมา
“อย่านะ”
น้ำมนต์ตกใจ
แจ๊วกำลังจะดึงปลอกหมอนออก แต่ข้าวต้มดึงรั้งเอาไว้
“อย่ามายุ่งกับหมอนเค้า”
น้ำมนต์วิ่งเข้ามา
“พี่น้ำมนต์ ช่วยด้วย”
“เธอจะทำอะไร” น้ำมนต์มองแจ๊ว
“แจ๊วเห็นว่าปลอกหมอนเก่าแล้ว เลยจะเอาไปซักให้ค่ะ”
“เค้าชอบของเค้าอย่างนี้ อย่ามายุ่ง” ข้าวต้มดึงไว้
น้ำมนต์เหนื่อยใจ
“คืนข้าวต้มไปเถอะ แล้วเธอก็ไปทำงานอย่างอื่น”
“ก็ได้ค่ะ”
แจ๊วจะไปดึงปลอกหมอนของน้ำมนต์
“ไม่ต้องยุ่งกับหมอนฉันด้วย” น้ำมนต์เสียงแข็ง
“แล้วจะให้แจ๊วทำอะไรล่ะคะ”
“คุณก็สั่งเขาไปสิว่าจะให้ทำงานอะไร” พีระแทรกขึ้น
น้ำมนต์ถลึงตากับพีระ
“ฉันไม่มีอะไรให้เธอทำ”
อัฐชัยรีบตัดบท
“เอางี้ แจ๊ว เธอไปจ่ายตลาดซื้อของเข้ามาแช่ในตู้เย็นให้น้ำมนต์ดีกว่า อ่ะ นี่เงิน”
แจ๊วรับเงินยิ้มแย้ม
“ได้เลยค่ะ แจ๊วจะซื้อมาทำให้คุณน้ำมนต์กินนะคะ”
แจ๊วรีบร้อนออกไปทันที ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ตรงนั้น พีระงงๆ
“ไหนบอกว่าจะรีดผ้าให้ แล้วตะกร้ามาอยู่ตรงนี้”
น้ำมนต์หันไปบอกอัฐชัย
“อัฐ...พาแจ๊วกลับไปเถอะ”
“พากลับไปเลย” ข้าวต้มเสริม
อัฐชัยอ้อนวอน
“น่า...ให้โอกาสแจ๊วดูสักวันสองวันนะ แจ๊วเป็นเด็กดี ขยัน ต้องทำงานส่งเงินไปให้พ่อกับแม่ที่บ้านนอก บ้านผมก็มีคนรับใช้เยอะแล้ว ก็เลยเอามาให้ช่วยน้ำมนต์ คิดซะว่าช่วยให้คนๆนึงได้มีงานมีการเถอะแล้วกันนะ”
น้ำมนต์อ่อนใจ อัฐชัยยิ้ม พีระคิดๆ
“ผมว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
“เค้าก็ว่า” ข้าวต้มหันมามองพีระ เห็นด้วย
พีระชักสงสัย
อัฐชัยเดินออกมาจากบ้าน สักพัก แจ๊วโผล่ออกมาจากมุมที่ซ่อน
“ค่าจ้างค่ะ”
“ยังไม่ทันทำงานอะไรเลย ทำงานให้เรียบร้อยก่อนเถอะ จำหน้าที่ตัวเองได้หรือเปล่า”
แจ๊วยิ้มแต้
“สบมยห...สบายมากอย่าห่วงค่ะ หน้าที่อะไรคะ”
“เธอมีหน้าที่ทำงานบ้านบังหน้า แต่หน้าที่หลักคือ เธอต้องคอยจับตาดูน้ำมนต์เอาไว้ ไม่ว่าน้ำมนต์ทำอะไร ไปที่ไหน ไปกับใคร ยังไง เธอต้องรายงานให้ฉันรู้ตลอด ห้ามพลาดแม้แต่การเคลื่อนไหวเดียว เข้าใจมั้ย”
“รับทราบค่ะ”
“ที่สำคัญ...เธอห้ามเปิดโอกาสให้น้ำมนต์ อยู่สองต่อสองกับผีพีระ เข้าใจมั้ย”
“คะ...ผี...ผีอะไรคะ” แจ๊วสยอง
“เอ่อ ไม่ใช่ผีไม่ใช่ๆ ที่นี่ไม่ได้มีผีเลย...เอ่อ คือ ฉันหมายถึง...คนที่น้ำมนต์ชอบคุยด้วยในจินตนาการน่ะ” อัฐชัยแถไป
“ยังไงคะ” แจ๊วงงๆ
“คือ...น้ำมนต์มีปัญหาทาง” อัฐชัยชี้หัว “นิดหน่อย...เลยจะชอบพูดคนเดียว ทำเหมือนกับว่ามีใครอีกคนอยู่ด้วยแต่ไม่ใช่ผีนะ เอาเป็นว่าถ้าเธอเห็นน้ำมนต์พูดกับอากาศเมื่อไหร่ เธอต้องรีบเข้าไปขัดจังหวะทันที...มันเป็นวิธีการเดียวที่จะช่วยให้น้ำมนต์หายจากโรคพูดคนเดียวได้เร็วขึ้น”
“อ้อ เป็นโรคพูดคนเดียวนี่เอง ไม่ใช่ผีแจ๊วก็โอเคค่ะ เพราะถ้าเป็นผี แจ๊วรับงานนี้ไม่ไหวค่ะ”
“ไม่ใช่ผี เธอสบมยห.ได้เลย แล้วนี่” อัฐชัยยื่นผ้ายันต์อาจารย์เทพให้ “ติดตัวไว้”
“ผ้ายันต์กันผี” แจ๊วอึ้งๆ
“ไม่ใช่ผ้ายันต์กันผี นี่เป็นผ้ายันต์นำโชค เวลาน้ำมนต์เข้าห้องน้ำ เธอต้องถือผ้ายันต์นี้ แล้วไปยืนหน้าประตูห้องน้ำเอาไว้ เข้าใจมั้ย”
“ทำไมคะ” แจ๊วงงๆ
“มันจะช่วยกันไม่ให้เพื่อนในจินตนาการ ตามเข้าไปในห้องน้ำได้น่ะสิ เอ้า ไม่ต้องถามมาก ไปทำงาน ไปๆ”
“ค่ะ แล้วอย่าลืมโอนค่าจ้างล่วงหน้าเข้าบัญชีให้ด้วยนะคะ”
แจ๊วรีบกลับเข้าไป
“ฉันจะไม่ยอมให้ผีหน้าไหนมาคิดอกุศลกับน้ำมนต์แน่”
มุมหนึ่ง พีระโผล่มายืนมอง รับรู้แผนการของอัฐชัยทั้งหมด
“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง”
พีระกระหยิ่ม คิดจะแกล้งให้สนุก
น้ำมนต์ถือสมุดกระเป๋ากำลังจะออกไปนอกบ้าน พีระมาขวาง
“คุณจะไปไหน”
“ฉันต้องรายงานนายด้วย” น้ำมนต์จะไป
“ผมไปด้วย” พีระเดินตาม
“ไม่ต้อง...ฉันอยากอยู่คนเดียว”
แจ๊วออกมาเห็นน้ำมนต์พูดคนเดียว
“พูดคนเดียวจริงๆด้วย”
พีระเดินตามไม่เลิก จนน้ำมนต์ไม่พอใจ หันกลับมา
“พูดภาษาคนไม่เข้าใจหรือไง”
แจ๊ววิ่งปราดเข้ามา
“คุณน้ำมนต์...จะออกไปไหน แจ๊วไปเป็นเพื่อนนะคะ”
“ไม่ต้องค่ะ ทั้งคน ทั้งผ...” น้ำมนต์เกือบหลุดปากว่าผี แต่ยั้งปากทัน “น้ำมนต์แค่จะไปหามุมสงบๆนั่งคิดบทละคร...ฝากดูแลข้าวต้มด้วยนะคะ”
น้ำมนต์เดินแยกออกไป
“ต้องรีบโทรบอกคุณอัฐ”
แจ๊วจะวิ่งกลับไป พีระดึงชายเสื้อไว้ ให้วิ่งไปไม่ได้ แจ๊วพยายามวิ่ง พีระปล่อยมือ แจ๊วคว่ำคะมำไปกับพื้น งงๆว่าอะไรงับชายเสื้อ แจ๊วจะลุกยืน พีระรีบตามน้ำมนต์ไป...แจ๊วรีบมาหลบมุมรีบกดโทร กำลังรอสาย แต่อยู่ๆข้าวต้มโผล่มา
“แอบโทรหาใคร”
“หา...เอ่อ...เปล่า...โทรหา...แม่...แม่จริงๆ” แจ๊วตกใจ
“ท่าทางมีพิรุธ”
ข้าวต้มจับตาดูแจ๊ว เดินตามตลอด
คุณผีที่รัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
อัฐชัยรับสาย ตื่นเต้นที่แจ๊วโทรมา ต้องมีข่าวอะไรแน่ๆ
“แจ๊ว น้ำมนต์เป็นไงบ้าง มีอะไรจะบอกบอกมาให้หมด”
“แม่จ๋า ไม่ต้องเป็นห่วงลูกนะคะ ลูกได้งานทำแล้ว แม่ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อแล้ว อย่าร้องไห้สิคะ ลูกจะร้องตาม ฮือๆ” แจ๊วแกล้งพูด
“ แม่...แม่อะไรของแก น้ำมนต์เป็นยังไง” อัฐชัยงง
“ลูกรักแม่นะ”
แจ๊ววางสาย แกล้งทำท่าซาบซึ้งรักแม่มาก ข้าวต้มยังเหล่ตามองอยู่ แจ๊วเดินแยกไป แต่ข้าวต้มเดินตาม
“จะตามพี่มาทำไมคะ”
อัฐชัยงง ไม่เข้าใจ
“แม่...หมายความว่าไง หรือแจ๊วจะบอกเป็นโค้ดลับไม่ให้ถูกจับได้ ฉันจะไป...”
พิมพ์ดาวไม่ให้ไป
“ไม่ต้องเลย...นั่งลง แกเพิ่งจะมาจากบ้านน้ำมนต์เอง แกจะกลับไปเซ้าซี้อีกแล้ว ไม่กลัวน้ำมนต์รำคาญแกหรือไง นั่งพักสบายๆเถอะ”
อัฐชัยฮึดฮัด เป็นห่วงน้ำมนต์
น้ำมนต์เดินออกจากบ้านมา พีระเดินตาม จนมาถึงศาลารอรถ
“จะไปหาที่นั่งคิดงานเหรอ...จะไปที่ไหน ห้องสมุด ร้านกาแฟ หรือสวนสาธารณะ...ผมว่าไปสวนดีกว่า อากาศดี สมองแจ่มใส”
“ฉันจะไปไหนก็เรื่องของฉัน”
น้ำมนต์เผลอดุ แม่วัยกลางคนกับลูกสาววัย 8 ขวบและป้าอีกคน ที่รอรถเมล์อยู่ด้วยถึงกับหันมามอง รู้สึกว่าน้ำมนต์ประหลาดพูดคนเดียว ทั้งหมดพากันเขยิบออกห่าง น้ำมนต์เห็นอาการแม่ลูก เลยหันมาจ้องพีระ โทษว่าเป็นเพราะเขา แต่พีระทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ สักพัก แม่เห็นว่ารถสองแถวกำลังแล่นมา
“รถมาแล้ว...แม่ไม่อยู่ อย่าดื้ออย่าซนเชื่อฟังป้าพรนะ แล้วแม่จะรีบกลับมา”
ลูกสาวร้องไห้ ไม่อยากให้แม่ไป
“ไม่เอา ไม่ให้ไป” ลูกโผเกาะหนึบ
“แม่ไปทำงานแป๊บเดียว เดี๋ยวตอนเช้าก็กลับ” แม่แกะลูกสาวออก “ฝากลูกด้วยนะพี่พร...แม่ไปนะ”
น้ำมนต์มองภาพการล่ำลาของแม่ลูกคู่นั้นพลางย้อนคิดถึงตัวเองกับแม่ มองหน้าเด็กที่ร้องไห้นั้น เสมือนเห็นตัวเองในอดีต จนกระทั่ง เสียงพีระแทรกมา
“คิดอะไรอยู่”
“เปล่า”
“รถจะออกแล้ว คุณไม่ไป”
น้ำมนต์ได้สติ หันมา พบว่าแม่วัยกลางคนขึ้นไปนั่งในรถแล้ว และรถกำลังจะออก น้ำมนต์จะวิ่งไปขึ้นที่นั่งข้างคนขับ แต่ต้องผงะ เพราะพบว่ามีผีสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ นางหันขวับมาจ้องด้วยสายตาอำมหิตมาก ที่กลางศีรษะมีรูกระสุนเห็นเด่นชัด น้ำมนต์ตกใจ
“ว้าย”
น้ำมนต์ผงะออก คนขับรถมองน้ำมนต์แปลกๆ พีระตามมาดูเห็นผีสาวตนนั้นเช่นกัน ผงะไปด้วย
“เฮ้ย”
ผีสาวในชุดผ้าถุงชาวบ้าน สีหน้าอาฆาตแค้นมาก คนขับเรียก
“เอ้า ขึ้นมาสิ พี่ไม่กัดหรอก มาๆ”
ผีสาวหันไปจ้องคนขับที่กำลังยิ้มเจ้าชู้ให้น้ำมนต์
“ถ้าไม่ขึ้น พี่ไปนะ”
ผีสาวแค้นคนขับ
“แก ต้อง ตาย”
น้ำมนต์กับพีระตกใจ
“หา...”
ผีสาวนั่งซ้อนตักคนขับรถ มือจับหน้าคนขับอย่างหวงแหน น้ำมนต์หันไปถาม
“คุณจะทำอะไรเขา”
คนขับนึกว่าพูดกับตัวเอง
“ทำไร”
“แกหลอกฉัน...แกต้องชดใช้” ผีสาวอาฆาตแค้น
“ชดใช้อะไร...ตายแล้วก็อยู่ส่วนตาย ออกมา”
พีระจะเข้าไปเปิดประตูเอาผีสาวลง แต่ผีสาวหันกลับมา แยกเขี้ยวน่ากลัวใส่
“อย่ามายุ่ง”
พีระกระเด็น ผงะถอยออกไป น้ำมนต์ผงะด้วยรีบสั่งคนขับ
“พี่...ลงมาจากรถเดี๋ยวนี้...ลงมา”
“อะไร...เป็นไรเนี่ย...เห็นสวยๆไม่น่าเพี้ยนเลย” คนขับงง
คนขับรถนึกว่าน้ำมนต์ไม่เต็ม ส่ายหัว เซ็ง เสียเส้น แล้วขับรถออกไป น้ำมนต์มองตามไป พอรถเคลื่อนออกก็เห็นแม่วัยกลางคนนั่งโบกมือให้ลูกอยู่ที่ด้านท้าย โดยลูกสาวก็ยังร้องไห้จ้ามากขึ้นอีก น้ำมนต์อึ้ง เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ร้ายที่ผีสาวคิดจะทำ
“ไม่...ไม่นะ...”
น้ำมนต์นึกถึงภาพในอดีต ช่วงที่เธอไปเห็นสภาพรถที่แม่นั่งมาคว่ำ และแม่ถูกหามออกไป
น้ำมนต์ตัดสินใจวิ่งไล่ตามรถสองแถวคันนั้นทันที พีระตกใจ
“เฮ้ย จะทำอะไร”
พีระรีบตาม
รถสองแถวแล่นมาตามถนน น้ำมนต์วิ่งไล่ตามมาสุดชีวิต รถทิ้งระยะห่างออกไป น้ำมนต์ไล่ไม่ทัน
“หยุด...ใครก็ได้หยุดรถคันนั้น”
คนขับขับรถอยู่จะเปลี่ยนเกียร์เพื่อเบรก แต่ผีสาวคว้ามือจับมือคนขับเอาไว้อีกที แล้วกดอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมให้เปลี่ยนเกียร์ได้ คนขับออกแรงแต่ก็ขยับไม่ได้
“เฮ้ย...เป็นไรวะ ทำไมเปลี่ยนเกียร์ไม่ได้”
รถสองแถวส่ายไปมา พวกผู้โดยสาร รวมถึงแม่วัยกลางคนตัวโยนไปมา ต่างก็ตกใจ ร้องวี้ดว้าย แล้วรีบไขว่คว้าหาเสาเหล็กเกาะยึดจ้าละหวั่น ผีสาวจ้องหน้าคนขับ
“แกหักหลังความรักของฉัน แกมันเลว...ไอ้คนชั่ว”
ผีสาวเอื้อมมือไปจับพวงมาลัยรถ ยิ้มเหี้ยม แล้วเคลื่อนพวกมาลัย รถแฉลบออกด้านข้างทันที
ผู้โดยสารร้องลั่น คนขับพยายามดึงพวงมาลัยคืนกลับมา
“เฮ้ย รถเป็นอะไรวะเนี่ย”
น้ำมนต์วิ่งตามมา เห็นรถที่ส่าย ถึงกับตกใจ
“ไม่นะ...”
คนขับพยายามเหยียบเบรก
“เบรกสิวะ เบรก”
“ฉันจะพาแกลงนรก”
ผีสาวดึงพวงมาลัยอีกที รถสองแถวพุ่งไถลออกข้างทาง คนขับพยายามจะดึงพวงมาลัยกลับ แต่ผีสาวจับขืนไว้ ในที่สุด รถสองแถวก็พุ่งเขาไปชนโครมเข้ากับเสาไฟฟ้า รถหยุดนิ่ง ควันขึ้น น้ำมนต์แทบกรี๊ด
“ไม่”
น้ำมนต์รีบวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ เห็นแม่วัยกลางคนกระเด็นออกมานอนฟุบอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง ครวญครางโอดโอย น้ำมนต์รีบพุ่งเข้าไปประคองไว้
“แม่...ไม่นะ...อย่าเป็นอะไรไปนะคะ คิดถึงลูกเข้าไว้...ช่วยด้วย”
สักพัก เริ่มมีชาวบ้านละแวกนั้นทยอยกันเข้ามา ต่างส่งเสียงโหวเหวกต่างๆ ให้ตามคนมาช่วยกันบ้าง สั่งให้เอารถออกไปโรงพยาบาลบ้าง สั่งให้โทรแจ้งตำรวจ แจ้งรถพยาบาลบ้าง คนขับรถคลานออกมาจากรถ พยายามคลานออกห่างรถ แล้วนอนแผ่ แต่แล้วอยู่ๆผีสาวก็ปรากฏขึ้นมานั่งคร่อมร่างเขาเอาไว้
“แก ตาย”
ผีสาวนั่งคร่อมทับ แล้วบีบคอ คนขับหายใจไม่ออก ดีดดิ้น แต่แล้วอยู่ๆ พีระก็โผล่มาด้านหลังผีสาว กระชากผีสาวออกจากคนขับ
“ออกมา”
พีระกระชากแล้วเหวี่ยงผีสาวออกไป ผีสาวไถลไปไกล แต่ตั้งหลักได้ พร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าเป็นโหดร้ายอำมหิต มือเกร็ง เห็นกรงเล็บแหลมน่ากลัว พร้อมจะทำร้ายพีระ
“อย่ามายุ่งเรื่องของฉัน”
“ดูที่แกทำ...คนที่เขาไม่อยากยุ่งเรื่องของแก ต้องมาเจ็บด้วยตั้งกี่คน แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าอย่ายุ่งเรื่องของแกอีกเหรอ”
ผีสาวจะเข้าไปหาคนขับรถอีก แต่พีระตามมาขวางหน้า
“หลบไป”
ผีสาวฉุน เกรี้ยวกราด สะบัดทีเดียว พีระก็ถึงกับผวาเซถอยหลังไป ผีสาวจะไปจัดการคนขับรถ แต่พีระพุ่งเข้ามากระชากแขนไว้ก่อน
“จะฆ่าเขาให้มันได้อะไรขึ้นมา”
ผีสาวถูกกระชากแขน ผวากลับมา พร้อมกับเหวี่ยงฝ่ามือที่มีเล็บแหลมยาวมาด้วย เล็บนั้นข่วนเนื้อช่วงไหล่ของพีระจังๆ
“อ๊าก”
น้ำมนต์ที่ส่งแม่วัยกลางคนให้ชาวบ้านเอาขึ้นรถนำส่งไปโรงพยาบาลเสร็จ หันมาเห็นพีระถูกทำร้าย
“พีระ...อย่าทำอะไรเขา”
ผีสาวไปโผล่คร่อมร่างคนขับรถอีกครั้ง บีบคอ
“เขาทำอะไรให้คุณ ทำไมถึงอยากได้ชีวิตเขา” น้ำมนต์ถามอย่างสงสัย
“มันบอกว่ารักฉัน แต่มันกลับทิ้งฉัน ฉันเกลียดมัน”
“เขาตายไป ก็ไม่ได้ไปอยู่กับคุณหรอก เพราะเขาจะได้ไปเกิด แต่คุณจะต้องอยู่รับกรรมที่สร้างไว้ วนเวียนเป็นสัมภเวสีชดใช้กรรมอยู่ในภพภูมินี้ไปอีกนานแสนนาน...ถ้าคุณรักเขา คุณต้องปล่อยเขาไป”
“ฉันเกลียดมัน”
พีระแทรกขึ้น
“เกลียดยิ่งต้องปล่อย ให้เขาอยู่เจอบนโลกนี้ต่อไป จะเอาเขาไปด้วยเพื่ออะไร ยังอยากให้เขาตามไปทำร้ายอีกเหรอ”
“ปล่อยวางเถอะ...คุณควรจะได้ไปที่ชอบๆ ไม่ควรมาติดอยู่ตรงนี้ กรรมฉุดรั้งให้คุณวนเวียนอยู่อย่างนี้ มีแต่บุญเท่านั้นที่จะปลดปล่อยคุณสู่แสงสว่าง”
“เลือกเอาเองว่าจะอยากจะทุกข์ต่อหรือจะไปที่ชอบๆ” พีระจ้องผีสาว
ผีสาวที่บีบคอคนขับรถอยู่ ค่อยๆรู้สึกใจอ่อน รู้สึกผิด มือค่อยๆผ่อนแรงลง น้ำมนต์ปลอบ
“ถูกต้องแล้ว ปล่อยวางเรื่องเก่า จะได้มีความสุขจริงๆซะที”
พวกชาวบ้านรีบเข้ามาช่วยคนขับรถ
“เฮ้ย ทางนี้อีกคน”
ผีสาวหายไป พีระกับน้ำมนต์โล่งอก
บ้านน้ำมนต์ยามค่ำคืน อัฐชัยกับพิมพ์ดาวแอบมาพบแจ๊วที่หน้าบ้าน
“น้ำมนต์ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”
“ค่ะ เห็นบอกว่าจะไปหามุมสงบๆคิดงาน...แจ๊วพยายามจะโทรบอกคุณอัฐตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนะคะ แต่...น้องข้าวต้มตามแจ๊วแจ เลยไม่มีจังหวะ”
“มันต้องหลอกน้ำมนต์ไปทำมิดีมิร้ายแน่ๆ” อัฐชัยจะวิ่งไป
“แกจะไปไหน” พิมพ์ดาวรีบถาม
“ไปตามน้ำมนต์”
“ที่ไหน”
“ไม่รู้ แต่ฉันจะไม่อยู่เฉยๆ”
ข้าวต้มเดินคุยมือถือออกมา
“เค้ากำลังจะนอนแล้ว...ก่อนกลับพี่อย่าลืมแวะซื้อแซนวิชทูน่าให้เค้าด้วยนะ รู้แล้ว จะนอนแล้ว” ข้าวต้มวางสาย
“ข้าวต้มๆ คุยกับน้ำมนต์ใช่มั้ย” อัฐชัยรีบถาม
“พวกพี่มาได้ไง”
“ก็...ตอบพี่มาก่อน พี่สาวเราอยู่ที่ไหน เป็นอะไร ปลอดภัยดีหรือเปล่า”
ข้าวต้มเหล่ๆมอง ยิ่งอยากรู้ ยิ่งเล่นตัว ไม่ยอมบอก
“ไปนอนดีกว่า”
ข้าวต้มเดินผยองๆกลับเข้าไป พิมพ์ดาวปลอบอัฐชัย
“เอาน่า มองในแง่ดี น้ำมนต์ก็ไม่ได้เป็นอะไร แกสบายใจได้”
“ไม่ ฉันจะรอจนกว่าน้ำมนต์จะกลับมา”
อัฐชัยเดินไปหามุมเพื่อนั่งรอน้ำมนต์
ในสวน...พีระนั่งหมดแรง ปวดแขนทั้งล้าที่ออกแรง และแสบที่โดนข่วน น้ำมนต์พูดโทรศัพท์อยู่
“ปลอดภัยแล้วใช่มั้ยคะ...ขอบคุณมาก ขอบคุณค่ะ” น้ำมนต์วางสาย ดีใจ “ผู้หญิงคนนั้นปลอดภัยแล้ว”
“ห่วงแต่ผู้หญิงคนนั้นแหละ ผมเจ็บตายอยู่แล้ว”
“เป็นผีจะเจ็บอะไร อย่ามาสำออย”
“อ้าว ที่ผมเป็นงี้ก็เพราะคุณ...ใครใช้ให้วิ่งตามรถมา คิดว่าตัวเองเป็นอะไร ซูปเปอร์เกิร์ลหรือนักล่าผี หรือไง”
“แล้วจะให้ฉันปล่อยไปเฉยๆหรือไง ผู้หญิงคนนั้นมีลูกนะ เด็กผู้หญิงคนนั้นจะโตมายังไงถ้าไม่มีแม่ นายไม่เข้าใจหรอก”
พีระอึ้ง พอจะเข้าใจ
“คุณกลัวว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะเสียแม่ไปเหมือนคุณใช่มั้ย”
“นายไม่รู้หรอกว่ามันยากลำบากแค่ไหน”
“มันเป็นยังไงล่ะ”
น้ำมนต์รู้ว่าพีระจะหลอกถาม ไม่อยากพูดถึง เดินหนี แต่เขาคว้ามือไว้เอาคำพูดน้ำมนต์มาย้อน
“ปล่อยวางเรื่องเก่า จะได้มีความสุขจริงๆซะที เกิดอะไรขึ้นกับแม่ของคุณ เล่าให้ผมฟังเถอะ”
“เรื่องแม่ของฉัน...”
พีระรีบดักคอ
“แต่ถ้าคุณไม่อยากเล่า ก็โอเค...ผมแค่อยากให้คุณรู้ว่า คุณไว้ใจผมได้”
น้ำมนต์ตัดสินใจบอก
“มีคนทำให้แม่ฉันตาย”
พีระแปลกใจ น้ำมนต์ทบทวนอดีต
ในอดีต...น้ำมนต์ในวัยมัธยม ตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน
“ว่ายังไงนะคะ”
“เราตรวจสอบกล้องวงจรปิดละแวกนั้นอย่างละเอียดแล้ว...มันเป็นอุบัติเหตุที่คุณแม่ของน้องประมาทเอง ไม่ได้เกิดจากคนอื่นเลย” ตำรวจอธิบาย
“แต่ชาวบ้านแถวนั้นก็พูดตรงกันว่ามีรถฝ่าไฟแดงมาเฉี่ยวท้าย รถของแม่ถึงพลิกคว่ำ”
“น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ”
“เข้าใจผิดยังไง”
“ถ้ามีการเฉี่ยวชนก็ต้องมีร่องรอย แต่นี่ไม่มีอะไรเลยนะ”
“ไม่จริง หนูไม่ยอม คนที่ทำให้แม่หนูเสีย จะต้องรับผิดชอบ”
มีเสียงวอ.ตำรวจดังเข้ามา
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวนะ”
ตำรวจกำลังจะลุกไป แต่น้ำมนต์ไม่ยอม
“เพราะเขาเป็นคนรวยใช่มั้ย”
ตำรวจชะงัก
“ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า...มันเป็นรถนำเข้า คนจนๆไม่มีทางขับได้ เพราะเขารวยใช่มั้ย เขาถึงรอดพ้นจากทุกอย่าง”
“เราทำงานตามหลักฐาน ขอโทษจริงๆที่ไม่ตรงใจ”
“แม่หนูทั้งคนนะคะ คุณต้องให้ความเป็นธรรมกับหนู ต้องช่วยหนูสิ”
ตำรวจจากไปไม่แยแส น้ำมนต์กอดต้นข้าวร้องไห้
น้ำมนต์หน้าซึม น้ำตารื้น พีระเข้าใจเรื่องราว เห็นใจน้ำมนต์
“คุณไม่ได้รับความยุติธรรม”
“ใครๆก็ยืนยันว่ามีรถเฉี่ยวท้ายรถแม่ แต่ทุกอย่างกลับไม่มีใครพูดถึง ไม่มีใครสนใจ ตำรวจสรุปคดีว่าเป็นเพราะแม่ขับรถโดยประมาท”
“เพราะคู่กรณีเป็นคนรวย มีอำนาจ มีบารมีมากกว่า...ใช่มั้ย”
“เขาทำเหมือนแม่ไม่มีค่า...แม่ฉันก็คนนะ จะรวยหรือจนก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไม”
น้ำมนต์ยิ่งร้องไห้มากขึ้น พีระสงสาร เห็นใจ ไม่เซ้าซี้แล้ว
“อย่าร้องสิคุณ”
น้ำมนต์ไม่หยุดร้อง พีระอึกอัก อยากปลอบ แต่เก้ๆกังๆ ปลอบไม่เป็น เอื้อมมือจับบ่าเบาๆ ให้กำลังใจ
“โอ๋ โอ๋”
แต่ยิ่งปลอบ ยิ่งทำให้น้ำมนต์น้ำตาไหล พีระโอบมากขึ้น จนเธอโผมากอดเขาเอง พีระผงะ ถึงกับยกมือ ไม่ชิน ไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะค่อยๆลูบหัวปลอบ
“ไม่เป็นไรนะ...หยุดร้องเถอะ ร้องอย่างนี้ ผมก็กลายเป็นผีปอบพอดี”
น้ำมนต์ชะงักกับมุก ผละออกมามองหน้า
“ผีปอบ”
“ผีปลอบ...ผีปอบไง”
น้ำมนต์ก็ขำออกมา พีระขำด้วย ทั้งคู่สบตากัน ต่างคนต่างเกิดรู้สึกแปลกประหลาดต่อกันขึ้นมา น้ำมนต์ผละออก
“เอ่อ ขอบใจนะ”
อัฐชัยนั่งตบยุงอยู่ข้างทางบริเวณหน้าบ้านน้ำมนต์ พิมพ์ดาวมองเซ็งๆ
“แกจะนั่งไปถึงเมื่อไหร่”
“จนกว่าน้ำมนต์จะกลับ แกกลับไปก่อนก็ได้นะ”
“ไหนบอกจะให้ฉันช่วยไง ถ้าให้ช่วยก็ไม่ต้องมาไล่” พิมพ์ดาวนั่งลงข้างๆกัน
“ขอบใจนะดาว ถ้าน้ำมนต์ยอมเป็นแฟนฉันเมื่อไหร่ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณแกเลย”
“ให้มันจริง”
“จริงสิ...แกเป็นเพื่อนที่ฉันรักมากที่สุดเลยรู้มั้ย ดาว ถ้าแกแอบปิ๊งใคร บอกฉันนะ ฉันจะช่วยแกเต็มที่”
พิมพ์ดาวอึกอัก พูดไม่ออก
“ทำไมทำหน้ายังงี้...มีคนที่แอบชอบใช่มั้ย ใคร บอกมา”
“ไม่มี”
“อย่ามา ฉันรู้ว่ามี”
“ไม่มี ถึงมีฉันก็ไม่ต้องให้แกมาช่วยหรอก เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
“ใช่สิ แกมันสวย ไม่ต้องให้ใครช่วย...แล้วอย่ามาง้อให้ช่วยแล้วกัน”
อัฐชัยประชดๆ ตบยุงรอน้ำมนต์ต่อไป พิมพ์ดาวเชิดๆ ทำเป็นไม่แคร์
บริเวณริมบึงในสวน...พีระยืนรอใครบางคนอยู่ น้ำมนต์แปลกใจว่าเขาคิดทำอะไร สักพัก แมนสรวงขี่บิ๊กไบค์คู่ใจเข้ามาจอดเอี๊ยด
“ฉันมีเรื่องให้นายช่วย ช่วยไปสืบให้หน่อยว่าแม่ของน้ำมนต์ตายเพราะอะไร ใครทำ แล้วคนๆนั้นอยู่ที่ไหน”
แมนสรวงไม่พอใจที่พีระเรียกตนมาเพื่อเรื่องนี้ ไม่ใช่ธุระอะไรที่ตนจะต้องไปยุ่ง
“ฉันก็นึกว่านายมีเรื่องด่วนอะไร”
“ก็นี่ไงเรื่องด่วน”
“มันไม่ใช่เรื่องของนาย ไม่ใช่ธุระของฉัน ไม่ถือว่าเป็นเรื่องด่วน”
“เรื่องของน้ำมนต์ก็เหมือนเรื่องของฉันนั่นแหละ”
แมนสรวงอยากจะด่า แต่ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาด่า ได้แต่ฮึดฮัด
“นายคุยกับใคร” น้ำมนต์ถามอย่างสงสัย
“ยมทูต” พีระตอบนิ่งๆ
“หา...” น้ำมนต์งง
“เฮ้ย จะไปบอกเธอทำไม” แมนสรวงหน้าตื่น
“แล้วทำไมจะบอกไม่ได้ น้ำมนต์รู้เรื่องฉัน ก็ควรจะรู้เรื่องนายไว้ด้วย...นี่ แมนสรวง ยมทูตที่มีหน้าที่ช่วยเหลือฉัน แต่ไม่เคยทำตัวมีประโยชน์อะไรเลย” พีระเห็นน้ำมนต์มองหา “คุณมองไม่เห็นเขาเหรอ”
น้ำมนต์ส่ายหน้า
“ไม่เห็น”
แมนสรวงพูดขึ้น
“ไม่มีใครมองเห็นฉันได้ นอกจากฉันตั้งใจจะให้เห็น”
“นายอย่าพูดมาก รีบไปสืบตามที่ฉันสั่ง เข้าใจ”
“เรื่องของคนเป็น ก็เป็นหน้าที่ของคนเป็น ไม่ใช่ฉัน”
แมนสรวงขี่รถออกไปเลย ไม่แยแส
“เฮ้ย กลับมาก่อน ไอ้ยมทูตสอบตก ฮึ่ย”
“เขาช่วยไม่ได้ใช่มั้ย...ช่างเถอะ ฉันก็ไม่ได้อยากรู้หรอก ขอบใจมากนะที่ช่วย กลับบ้านเถอะ”
น้ำมนต์เดินสิ้นหวังแยกจากไป พีระเห็นใจ อยากช่วย
ระหว่างทางกลับบ้าน...น้ำมนต์เดินมา พีระตามมาขวางหน้า ยังคงเป็นห่วงความรู้สึกของน้ำมนต์
“เดี๋ยว...คุณ...โอเคหรือเปล่า”
“โอเค” น้ำมนต์ยิ้ม
“จริงๆนะ”
“มันผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว ฉันชินแล้ว”
“ชินก็ไม่ได้แปลว่าจะยอมรับได้ ให้ผมช่วยคุณสืบเรื่องนี้นะ คุณช่วยผม ผมก็ช่วยคุณบ้าง ยุติธรรมดี”
“อย่าเลย มันไม่มีประโยชน์”
“มีสิ...ถ้าเราหาตัวคนๆนั้นเจอ เขาก็จะได้มารับผิดชอบในสิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้ หรืออย่างน้อยเขาก็ควรจะต้องมากราบขอขมาดวงวิญญาณแม่ของคุณ”
“แล้วถ้าเขาไม่รับผิดชอบล่ะ ถ้าเขาไม่แยแส ไม่ยอมรับผิดซะอย่าง ฉันจะไปทำอะไรเขาได้”
“อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าคนชั่วคนไหนที่เป็นต้นเหตุ”
“แล้วไง...แล้วฉันก็ต้องทนเห็นเขาอยู่สุขสบายต่อไปอย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันขอไม่รู้ดีกว่า”
“แต่...”
น้ำมนต์ตัดบท
“ถ้านายเป็นห่วงฉัน อย่ารื้อฟื้น ช่วยทำให้ฉันลืมเรื่องนี้จะดีกว่า”
น้ำมนต์ขอร้อง พีระยอมรับ แล้วก็ยิ้มออกมา
“ก็ได้...ผมจะป่วนคุณให้คุณปวดหัวกับผมแทน”
น้ำมนต์ยิ้ม เล่นด้วย
“เอาสิ”
“งั้นก็เลิกทำหน้าบูดเป็นน้ำหมักชีวภาพก่อนสิ”
“หนอย...ไอ้ผีปากจัด ฉันจะตบปากนาย”
น้ำมนต์วิ่งไล่ พีระวิ่งหนีแต่ก็ยังยั่วยวน ทั้งคู่หัวเราะเล่นกัน
คุณผีที่รัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
อัฐชัยเดินกระวนกระวายรออยู่ที่เดิม แต่หันมาเห็นว่าพิมพ์ดาวกำลังหาวฟอดใหญ่อยู่พอดี
“ถ้าง่วง แกก็กลับไปนอนเถอะดาว”
“ไม่เป็นไร ไหว”
อัฐชัยรู้ว่าพิมพ์ดาวอยู่เป็นเพื่อนตน เลยลงไปนั่งข้างๆ นั่งในท่าที่จะให้เธอนอนหนุนตัก
“นอนดิ”
พิมพ์ดาวชะงัก
“หือ...”
“ง่วงไม่ใช่เหรอ ง่วงก็นอน เดี๋ยวฉันไล่ยุงให้”
“หนุนตักแกเนี่ยนะ”
“แล้วไง...อย่าลีลาน่ะ” อัฐชัยจับหัวพิมพ์ดาวให้นอนลงมาหนุนตักตน “แค่แกอยู่เป็นเพื่อน ฉันก็ซึ้งใจแล้ว”
“เออ...ขอบใจ”
พิมพ์ดาวแอบรู้สึกดี ที่ได้นอนตักเขาสักพัก อัฐชัยหันมามองตาพิมพ์ดาวอย่างหวานซึ้ง พิมพ์ดาวเหวอ เขิน แต่แล้วอัฐชัยก็ถอนหายใจ
“เฮ้อ ถ้าเปลี่ยนจากแกเป็นน้ำมนต์ก็คงดี”
พิมพ์ดาวผงะ ที่กำลังเคลิ้ม หมดอารมณ์ทันที
“จะมีสักวินาทีมั้ยที่แกไม่คิดถึงน้ำมนต์”
“ขอบอกเลยว่า ไม่มี”
พิมพ์ดาวลุกขึ้นมานั่ง
“ฉันไม่ง่วงแล้ว”
“อ้าว”
พอดี น้ำมนต์วิ่งไล่ตีพีระเข้ามา
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้ผีบ้า”
“น้ำมนต์”
อัฐชัยวิ่งไปหาน้ำมนต์ ปกป้อง
“มันทำอะไรน้ำมนต์ใช่มั้ย บอกอัฐมาเลย อัฐจะจัดการมันให้ มันอยู่นั่นใช่มั้ย”
อัฐชัยชี้ไปอีกทาง เพราะมองไม่เห็นพีระ แล้วพุ่งเข้าชกอากาศ
“ไอ้ผีชั่ว...ไอ้ผีเลว”
“อัฐ ใจเย็น” พิมพ์ดาวห้าม
น้ำมนต์มองสองคน
“พวกแกมาอยู่ทำอะไรหน้าบ้านฉัน”
“มารอช่วยน้ำมนต์ไง...”
อัฐชัยรีบล้วงผ้ายันต์อาจารย์เทพออกมา เอาโบกไล่ไปทั่ว
“ออกไปจากบ้านนี้...ไป”
“ผ้ายันต์อาจารย์เทพ...นี่อัฐมีด้วยเหรอ”
อัฐชัยโบกผ้ายันต์ไล่ไปทั่ว แล้วรีบไปยืนขวางประตูทางเข้าบ้าน โดยไม่รู้เลยว่าพีระเข้าไปในบ้านแล้ว
“น้ำมนต์ เข้าบ้านไป...ฉันจะไม่ให้แกเข้ามาในบ้านน้ำมนต์ได้อีกแล้ว ไปไหนก็ไป...ไป”
พีระที่อยู่ในบ้าน มองอาการอัฐชัยที่เป็นเอามาก แล้วกระซิบกับน้ำมนต์
“ผมก็นึกว่าเพื่อนคุณจะเป็นมิตรกับผมแล้วซะอีก นี่แสดงว่า ผีอย่างผมถูกคนตีสองหน้าหลอก ใช่มั้ย”
น้ำมนต์โกรธอัฐชัย
“พอได้แล้ว”
“น้ำมนต์ไม่ต้องกลัว อัฐจะ...”
“พีระอยู่ในบ้านตั้งนานแล้ว”
อัฐชัยเหวอ หน้าแตก รีบหันกลับไปมองด้านในบ้าน น้ำมนต์มองอัฐชัยอย่างโมโห
อัฐชัยยืนจ๋อยต่อหน้าน้ำมนต์
“ที่อัฐทำไปทุกอย่าง...เพราะเป็นห่วงน้ำมนต์นะ ดาว ช่วยพูดหน่อยสิ”
“อย่าโกรธอัฐเลย มันอุตส่าห์นั่งรอหน้าบ้านแกตั้งแต่หัวค่ำยันตอนนี้ ถ้าไม่รักจริง ไม่มีใครทนหรอกนะ”
“ใช่ๆ” อัฐชัยรีบเสริม
“เรื่องนั้น ฉันขอบใจ แต่...ทำไมต้องเสแสร้งว่าดีกับพีระด้วย”
“ก็มัน...เอ่อ...เขาเป็นผีนะ เราจะไว้ใจผีได้ยังไง”
น้ำมนต์เหล่มองพิมพ์ดาว
“ดาว แกก็คิดเหมือนอัฐด้วยหรือเปล่า”
“ก็...” พิมพ์ดาวอึกอัก
“ต้องพูดยังไงถึงจะเข้าใจ พีระไม่ใช่ผี แค่วิญญาณเขาหลุดออกจากร่าง ถ้าฉันช่วยให้เขากลับไปที่ร่างได้ เขาก็จะกลับมามีชีวิตตามเดิม เป็นคนปกติ”
“น้ำมนต์แน่ใจได้ไงว่ามัน...เอ่อ เขาพูดจริง” อัฐชัยแย้ง
น้ำมนต์กับพีระพูดพร้อมกัน
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ เขา / ฉัน...ต้องโกหก”
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่โกหก” อัฐชัยเถียง
“นี่...” น้ำมนต์หงุดหงิด
ข้าวต้มโผล่มาจากชั้นบน พูดโพล่งเข้ามาเลย
“พี่ก็บอกเพื่อนพี่ไปสิว่าพี่กับพี่พีระเป็นแฟนกัน”
“ห๊า” ทุกคนตะลึง อึ้ง งง
“พี่น้ำมนต์คบกับพี่พีระอยู่ รักกันมาก”
“เหลวไหล คนกับผี จะรักกันได้ไง” พิมพ์ดาวโวย
“ก็ถ้าพี่พีระกลับเข้าร่างได้ แล้วทำไมจะรักกันไม่ได้”
อัฐชัยกับพิมพ์ดาวอึ้ง อัฐชัยมองหน้าน้ำมนต์
“มันไม่จริงใช่มั้ยน้ำมนต์”
น้ำมนต์อึกอัก ไม่ตอบ เสไปคว้าตัวข้าวต้ม
“เอ่อ...ข้าวต้ม มานี่”
น้ำมนต์ลากข้าวต้มแยกไป
น้ำมนต์ลากแขนข้าวต้มแยกออกมา
“ใครใช้ให้พูดจาเหลวไหล”
“โด่พี่ ยอมรับไปเถอะ พี่อัฐชัยจะได้ตัดใจซะที...เค้ารำคาญจะตาย พี่ไม่รำคาญเหรอ จริงมั้ยพี่พีระ”
พีระสะดุ้ง
“อ้าว โยนมาอย่างนี้ พี่ก็ซวยดิ...ผมไม่เกี่ยวนะคุณ”
“หรือพี่ชอบที่พี่อัฐมาตามตื๊ออย่างนี้ ชอบจริงๆเหรอ”
น้ำมนต์สับสน อึกอัก อัฐชัยวิ่งตามเข้ามาตื้อถามอีก
“ไม่จริงใช่มั้ยน้ำมนต์ คนกับผีรักกันไม่ได้”
น้ำมนต์สับสน หันมองพีระ เขายกมือ ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ด้วย
“บอกไปสิว่าจริง” ข้าวต้มยุ
“ไม่จริง” อัฐชัยเถียง
“อัฐ...อัฐตัดใจจากเราเถอะ เราเป็นได้แค่เพื่อนกันแค่นั้น” น้ำมนต์ตัดสินใจ
อัฐชัยหน้าเสีย
“แต่น้ำมนต์ไม่ได้เป็นแฟนกับไอ้ผีใช่มั้ย”
“เป็น” ข้าวต้มตอบแทน
“ไม่เป็น” อัฐชัยเถียง
ข้าวต้มกับอัฐชัยต่างร้องเชียร์ในคำตอบที่ตัวเองอยากได้ น้ำมนต์โพล่งออกมา
“เป็น”
“เฮ้ย” พีระสะดุ้ง
“เป็นอย่างที่ข้าวต้มว่านั่นแหละ ถ้าพีระเข้าร่างได้ เราก็จะคบกัน เพราะฉะนั้น ชัดเจนแล้วใช่มั้ย อัฐเลยยุ่งกับเราซะที”
ข้าวต้มกระโดดดีใจ
“ไชโย...ไชโยๆ”
อัฐชัยช็อก ไม่อยากเชื่อ รับไม่ได้
“ไม่จริง...น้ำมนต์เป็นแฟนกับผีได้ยังไง ไม่จริง”
อัฐชัยสติแตก วิ่งหนีออกไป
“อัฐ...“ พิมพ์ดาวหันมาหาน้ำมนต์ “แกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
พิมพ์ดาวรีบวิ่งตามอัฐชัยไป พีระหันมาหาน้ำมนต์
“ใช่ คุณต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
ข้าวต้มยังดีใจไม่เลิก
“บ้าอย่างนี้ เค้าชอบ เย้ๆ”
น้ำมนต์หงุดหงิดตัวเอง เดินแยกไปอีกทาง ข้าวต้มโลดเต้นไม่หยุด พีระงงๆ
อัฐชัยวิ่งเตลิดออกมา แล้วทรุด คุกเข่าอยู่กลางลานกว้าง
“ไม่จริง มันไม่ใช่เรื่องจริง”
พิมพ์ดาววิ่งตามมา
“อัฐ...”
“ดาว...ฉันฝันไปใช่มั้ย แกตบหน้าฉันสิ ตบสิ”
“แกอย่าบ้าน่า”
“ตบสิ...”
อัฐชัยจับมือพิมพ์ดาวมาตบตัวเอง
“เจ็บ...นี่แสดงว่า ไม่ได้ฝัน น้ำมนต์มีแฟนเป็นผี อะไรมันจะเซอร์ไพร้ส์ไปกว่านี้...โอ๊ย”
“แกเป็นอะไร” พิมพ์ดาวตกใจ
“เจ็บ...เจ็บที่สุด อกหักมันเจ็บอย่างนี้นี่เอง”
“ฉันว่าแกกลับบ้านไปตั้งสติก่อนดีกว่า”
“ปลอบฉันหน่อยสิดาว”
“หา...” พิมพ์ดาวหน้าเหวอ
“ขอกอดหน่อย”
พิมพ์ดาวยังงงๆ แต่อัฐชัยโผกอดพิมพ์ดาวเลย แบบต้องการคนปลอบใจ
“ลูบหัวฉันสิ...ปลอบฉันหน่อย” อัฐชัยโวยวาย เอาแต่ใจ “ปลอบๆ”
พิมพ์ดาวเซ็ง ถอนใจ แล้วก็ลูบหัวปลอบไป
น้ำมนต์เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ เจอะพีระยืนอยู่พอดี
“แฟนจ๋า...” พีระยิ้ม กระหยิ่ม
“ทำไม”
“ชู่ว์ๆ ผมรู้ว่าแค่หลอกนายอัฐชัย แต่ก็ให้มันสมบทบาทหน่อยสิ เราเป็นแฟนกันแล้วน้า ขอจับมือหน่อย” พีระคว้ามือน้ำมนต์ขึ้นมา “มือแฟนจ๋านุ้มนุ่ม”
น้ำมนต์ชักมือออก
“จะสมบทบาทให้ใครดูไม่ทราบ”
“โอเคๆ ผมรู้ว่าคุณก็แค่ใช้ผมเป็นเครื่องมือทำให้นายอัฐชัยตัดใจจากคุณ แต่แน่ใจนะว่าไม่ได้หลงเสน่ห์ผม”
“อี๋ ช่างกล้า...ไหนเหรอเสน่ห์นาย”
“นี่ไง” พีระวางท่าเท่ ขยิบตาให้
“เท่มาก” น้ำมนต์ประชด
น้ำมนต์กำลังจะแยกไป แต่ข้าวต้มวิ่งเข้ามาอย่างร่าเริง คว้ามือน้ำมนต์
“พี่น้ำมนต์...ไปส่งเค้าเข้านอนหน่อย”
“ไปสิ”
ข้าวต้มไปคว้ามือพีระด้วย
“พี่พีก็ไปส่งเค้าด้วยนะ”
“ไม่ได้ ห้ามคนนอกเข้าห้องนอนพี่เด็ดขาด” น้ำมนต์เสียงแข็ง
“คนนอกที่ไหน แฟน” ข้าวต้มแย้ง
“ไม่ใช่...และอย่าคิดว่าจะใช่เชียว”
น้ำมนต์จะลากไป แต่ข้าวต้มไม่ยอมเดิน
“จะไม่ไปใช่มั้ย...งั้นก็อยู่กับผีไปแล้วกัน”
น้ำมนต์ปล่อยมือเดินแยกไปคนเดียว ข้าวต้มหันมามองพีระ
“ไม่เป็นไรนะพี่พี อีกไม่นานพี่น้ำมนต์ต้องใจอ่อนแน่นอน สู้ๆ”
“ข้าวต้ม...อย่าจริงจัง มันไม่ใช่เรื่องจริง”
ข้าวต้มกวักมือเรียกให้พีระก้มมา พอพีระก้มมาก็จับคอเสื้อ พูดจริงจัง
“พี่ไม่จริงจังกับพี่สาวเค้าเหรอ”
“หา...” พีระงง
“ฟังให้ดี...ถ้าพี่ทำให้พี่น้ำมนต์เสียใจ...ตาย”
ข้าวต้มผละออก ทำท่าขู่ๆ ตามน้ำมนต์ขึ้นห้องนอนไป พีระงงที่เจอเด็กขู่
สถานีพราวด์ดิจิตัล เช้าวันใหม่...เมสินีเดินสวยสง่าเข้ามาภายในสถานี ยุทธเข้ามาเดินประกบ รีบรายงาน
“คนของเราที่ให้ประกบน้ำมนต์ ไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยครับ”
“หมายความว่าไง”
“น้ำมนต์ไม่มีการติดต่อกับคุณพีทเลย ไปมหาวิทยาลัย แล้วก็กลับบ้าน ไม่ได้มีออกไปไหนเป็นพิเศษ”
เมสินีแปลกใจ
“เป็นไปได้ยังไง หรือน้ำมนต์จะไม่รู้จักนายพีทจริงๆ”
“ถ้าจะมีอะไรแปลก ก็มีแค่...”
“อะไร”
“น้ำมนต์ชอบพูดคนเดียว เหมือนคุยกับ...พลังงานบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ก็เป็นได้”
“ก็เด็กคนนี้เห็นผี มันก็คงคุยกับผีบ้านผีเรือนนั่นแหละ”
“หรือมันจะไม่รู้จักนายพีทจริงๆ”
“แล้วมันมีรูปนายพีทได้ไง ตามหานายพีททำไม...จริงๆแล้วคนระดับนายพีทไม่น่าจะมารู้จักอะไรกับเด็กผู้หญิงจนๆคนนี้ได้เลย มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ”
“งั้นคุณเมจะเอายังไงต่อไปดีครับ”
“ฉันจัดการเอง”
เมสินีคิดทำอะไรบางอย่าง
น้ำมนต์เดินลงมาจากชั้นบน อยู่ๆข้าวต้มที่แต่งตัวพร้อมแล้ววิ่งเข้ามาหาคว้ามือลากไป
“มานี่ๆ”
“อะไร”
“แท่มแท๊ม”
ข้าวต้มผายมือไป พีระยืนอยู่อีกด้าน ในชุดเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม หล่อเท่ สวมแว่นดำ ผมเรียบเนี้ยบ ประมาณชุดหนัง แมนๆ แตกต่างจากชุดเดิม น้ำมนต์งง
“นายพีระ...จะไป เก็บค่าแชร์แถวไหน”
“เก็บค่าแชร์อะไรล่ะ โห พูดซะจบเลย”
แจ๊วเพิ่งจะออกมาจากในครัว
“คุณน้ำมนต์รู้มั้ยคะว่าน้องคุณเพี้ยนไปแล้ว ฝากให้แจ๊วไปซื้อเสื้อผ้ามือสองจากตลาดมา แล้วก็เอามาเผาทิ้งหมด”
“ก็เผาส่งมาให้ผมไง” พีระยิ้ม
“แต่แจ๊วไม่แคร์นะคะ นี่ค่ะ” แจ๊วแบมือ “ทั้งหมดสี่ร้อยบาทค่ะ”
“หา...” น้ำมนต์หน้าตื่น
“น้องข้าวต้มบอกให้แจ๊วมาเก็บเงินกับคุณ อย่ามาเบี้ยวเงินขี้ข้านะคะ”
“ข้าวต้ม”
“อ้าว...พี่อยากให้แฟนพี่ใส่ชุดซ้ำๆซากๆไม่เปลี่ยนเหรอ ถือว่าเป็นของขวัญวันเปิดตัวคบกันแล้วกันนะ”
น้ำมนต์หันมาโวยพีระ
“เพราะนายใช่มั้ย”
“เฮ้ย ผมไม่เกี่ยวเลย”
“นายไหน...ใครคะ” แจ๊วมองหา
น้ำมนต์ฮึดฮัด สะบัดหน้าออกไปเลย แจ๊วเหวอไป
“อ้าว ค่าชุดล่ะคะ”
น้ำมนต์เดินออกมา พีระรีบตามมา
“รอด้วย”
พีระกับแจ๊ววิ่งออกมาพร้อมกัน ถามพร้อมกัน
“ผมไปด้วย”
“เงินค่าชุดล่ะคะ”
น้ำมนต์ตอบพีระ
“ไม่ต้องไป ฉันจะไปเรียน ขอเวลาส่วนตัวบ้างได้มั้ย”
พีระถามพร้อมกับแจ๊วอีก
“แล้วจะให้ผมอยู่บ้านทำอะไร”
“ไม่ตามค่ะ แต่จ่ายเงินมาก่อน” แจ๊วคิดว่าพูดกับตัวเอง
“นายอยากทำอะไรก็ทำไป จะนั่งนอนเดินเล่น หรือไปผุดไปเกิดก็เรื่องของนาย”
น้ำมนต์เดินไป พีระเซ็ง แจ๊วงง
“ไรอ่า...ทวงเงินแค่นี้ต้องไล่ไปผุดไปเกิดเลยเหรอ...ใจร้าย”
น้ำมนต์เดินเข้ามาในมหาวิทยาลัย พบพิมพ์ดาวกำลังโทรศัพท์อยู่
“แกไหวมั้ยอัฐ...โอเคๆ พักผ่อนแล้วกัน มีอะไรก็โทรมาหาฉัน เข้าใจมั้ย...รับปากมาก่อนว่าเข้าใจ...โอเค” พิมพ์ดาววางสาย
“อัฐเป็นอะไร” น้ำมนต์ถาม
“บอกว่าไม่สบาย ไม่มาเรียน แต่ฉันว่าไม่ใช่หรอก”
“แกอย่าโทษว่าฉันผิดนะ”
“ถามจริงเถอะ...แกคบกับพีระจริงๆเหรอ หรือแค่ข้ออ้างที่จะไม่คบอัฐ”
“ฉันคบพีระจริง”
พิมพ์ดาวไม่อยากจะเชื่อ
“คบกับผีเนี่ยนะ”
“ทำไม”
พิมพ์ดาวแกล้งหลอก
“อ้าว อัฐ”
น้ำมนต์หันขวับไปมอง พิมพ์ดาวรีบเอาสร้อยพระที่เตรียมมาแล้วคล้องคอน้ำมนต์ทันที น้ำมนต์กรีดร้อง
“อ๊าย”
“นั่นไง แกโดนของจริงๆด้วย”
พีระนั่งแกร่วอยู่ม้านั่งหน้าบ้านน้ำมนต์ ไม่รู้จะทำอะไรดีระหว่างรอ
“ทำไมเราต้องมานั่งรออย่างนี้...ทำอะไรดี”
แมนสรวงโผล่มายืนด้านหลัง เขกหัว
“จะนั่งทิ้งเวลาไปอีกนานแค่ไหน นายเหลือเวลาอีกแค่ 25 วันเท่านั้นนะ ไม่อยากกลับเข้าร่างตัวเองหรือไง”
“แล้วจะให้ฉันทำอะไรล่ะ นายกดีแต่เร่งๆ ไม่เห็นจะช่วยอะไรฉันสักอย่าง”
“ฉันก็รอจะช่วยนายอยู่นี่ไง”
“ขอให้สืบเรื่องแม่ของน้ำมนต์ก็ไม่ช่วย”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องของนายไม่ต้องไปสนใจ สนใจแค่ตามหาร่างของนายก็พอแล้ว”
“น้ำมนต์ช่วยฉัน ฉันก็ต้องช่วยเขาคืนบ้าง ถ้าฉันช่วยน้ำมนต์ไม่ได้ ฉันก็จะห่อเหี่ยวหมดอารมณ์จะสืบหาร่างของตัวเอง”
“นายก็จะเป็นผีตลอดไป”
“นายเองก็จะแห้วสิ่งที่นายอยากได้ด้วย”
แมนสรวงชะงัก พีระองหน้า
“ฉันจำได้...ว่าที่นายมาเป็นยมทูตช่วยเหลือฉัน เพราะนายมีเป้าหมายอะไรบางอย่าง ถ้าทำไม่สำเร็จ นายก็อด ถูกป่ะ”
พิมพ์ดาวผละออก
“แกปวดแสบปวดร้อนเพราะบารมีหลวงปู่...ไอ้ผีพีระต้องทำของใส่แกจริงๆ”
น้ำมนต์ส่ายหน้า
“ไม่ใช่ แต่...แต่แก...เหยียบเท้าฉัน”
พิมพ์ดาวผงะ
“อ้าว”
น้ำมนต์หยิบสร้อยพระออก
“ฉันไม่ได้โดนของ แกไม่ต้องสงสัย ฉันไม่ได้ชอบอัฐตั้งแต่แรกแล้ว”
“อัฐทำทุกอย่างเพื่อแก ช่วยเหลือเวลาที่แกเดือดร้อน ทำไมถึงไม่รักกับอัฐ”
น้ำมนต์จ้องหน้าเพื่อน
“แล้วแกล่ะ”
พิมพ์ดาวอึ้ง เงิบที่โดนย้อน
“ถ้าแกคิดว่าอัฐดี ทำไมแกถึงไม่รักกับอัฐซะเอง”
แมนสรวงอึ้ง...
“นายกำลังข่มขู่ฉัน”
“ไม่ได้ขู่...แค่จะบอกว่าถ้านายหวังผลประโยชน์ในตัวฉัน ก็ควรจะช่วยเหลือฉันบ้าง ไม่อย่างนั้นนายและฉันได้กินแห้วไปพร้อมๆกันแน่”
“นายมันเจ้าเล่ห์มาก เอาสิ ถ้าฉันช่วยให้นายกลับร่างไม่สำเร็จ อย่างมากฉันก็ต้องวนเวียนเป็นยมทูตต่อไป ไม่ได้ไปเกิดใหม่ แต่นาย...นายต้องตายกลายเป็นผี ลาขาดจากคนรักทุกๆคนอย่างถาวร”
“นายทำหน้าที่ยมทูตมานานแล้วสิ”
“ก็...แล้วจะทำไม”
“มันต้องนานมาก จนนายรู้สึกว่านี่คือโอกาสที่จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้ ถ้านายช่วยฉันไม่สำเร็จ ต้องรออีกนานแค่ไหนล่ะ...นานมากเลยสิ”
“ไม่ต้องมาสนใจ มีหน้าที่อะไรก็ทำไป”
“สรุปจะช่วยฉันหรือเปล่า”
แมนสรวงเครียด ที่ถูกต่อรอง ฮึดฮัด
พิมพ์ดาวเดินแยกออกมา น้ำมนต์ตามมา
“แค่พูดถึงอัฐแค่นี้ ต้องเดินหนีเลยเหรอ”
“ฉันไม่ได้หนี ฉันก็แค่ แค่ อี๋ แหวะมาก ที่แกบอกว่าจะให้ฉันรักอัฐ...อีตาอัฐชัยเนี่ยนะ หึ๋ย แค่คิดก็จะอ้วกแล้ว คนอย่างนี้ฉันเอามาทำแฟนให้ปวดหัวเพื่อ”
“ถ้าแกยังไม่ชอบอัฐ แล้วแกมาเชียร์ให้ฉันเนี่ยนะ”
“ก็อัฐชอบแก”
“แต่คนบางคนชอบอัฐ”
“อัฐเหมาะสมกับแก”
“คนบางคนเหมาะสมกับอัฐมากกว่า”
พิมพ์ดาวอึกอักที่โดนย้อน เปลี่ยนเรื่อง
“ยังไงฉันก็จะเชียร์อัฐให้จีบแก ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะคบพีระจริงๆ”
“ดาว แกเลิกหลอกตัวเองเถอะ เราเพื่อนกัน มีเหรอที่ฉันจะดูไม่ออกว่าแกคิดอะไรยังไง...กับ...ใคร”
พิมพ์ดาวอึ้ง อึกอัก แล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป น้ำมนต์เห็นใจเพื่อน
แมนสรวงเดินหนี พีระเดินตาม
“นายไม่ต้องเห็นใจฉันก็ได้ แต่น้ำมนต์เป็นคนดี เขาควรจะได้รับความยุติธรรมในชีวิตบ้าง ช่วยน้ำมนต์หน่อยเถอะ”
“ฉันบอกไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของน้ำมนต์ เพราะมันอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของฉัน”
“ไม่จริงหรอก”
“จริง...ฉันบอกได้แค่ว่า มันไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ การที่นายต้องมาผูกติดกับน้ำมนต์มันถูกจัดสรรมาแล้ว”
“หมายความว่าไง”
“เมื่อมีเหตุ ย่อมต้องมีผล มีบาป มีบุญ มีเวร มีกรรม ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องสอดคล้องกันไปไม่จบไม่สิ้น”
“ฉันไม่เข้าใจ พูดให้เข้าใจง่ายๆได้มั้ย”
ทันใด เจี๊ยบขี่มอเตอร์ไซค์ กดแตร แหกปาก พรวดพราดเข้ามา
“น้ำมนต์...พี่เจี๊ยบรู้แล้วๆ...รู้แล้วว่าคนในรูปนี้คือใคร”
พีระกับแมนสรวงหน้าตื่น
“หา...”
“น้ำมนต์” เจี๊ยบตะโกนเรียก
ฟุตบาทริมถนน ภายในมหาวิทยาลัย...น้ำมนต์เดินแยกมาอีกด้าน อยู่ๆมีรถของเมสินีมาจอดตรงหน้า เปิดกระจกลงมา เมสินีใส่ชุดสีขาวสะอาด น้ำมนต์ชะงัก ก่อนจะยกมือไหว้
“คุณเมสินี...สวัสดีค่ะ”
“ว่างมั้ยน้ำมนต์ ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย”
น้ำมนต์แปลกใจ เรื่องอะไร...พิมพ์ดาวเดินตามมา เห็นน้ำมนต์กำลังคุยกับคนในรถ ชะเง้อมอง เห็นว่าเป็นเมสินี แล้วก็เห็นน้ำมนต์เปิดประตูรถขึ้นไป
“นั่นคุณเมสินีนี่...มารับน้ำมนต์ไปไหน”
รถแล่นผ่านไป พิมพ์ดาวแปลกใจ
คุณผีที่รัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
เจี๊ยบถือวิสาสะเข้ามาที่บริเวณบ้าน ชะเง้อมองในบ้าน
“น้ำมนต์จ๋าน้ำมนต์...เอ สงสัยจะไปเรียน เอาไงดี”
“โทรไปบอกน้ำมนต์สิ” พีระบอก
“โทรศัพท์...ใช่ๆ” เจี๊ยบล้วงมือถือออกมา แต่ชะงัก “ไม่ๆ ต้องบอกต่อหน้าดีกว่า น้ำมนต์จะได้ดีใจแล้วก็โผกอดเราเป็นการขอบคุณ อิอิ”
พีระหมั่นไส้
“หนอย ไอ้ทะลึ่ง...บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าฉันเป็นใคร”
แต่อยู่ๆแจ๊ววิ่งออกมา ถือไม้กวาดมาเป็นอาวุธด้วย
“แกเป็นใคร มาทำลับๆล่อๆอะไรที่นี่”
เจี๊ยบย้อนถาม
“แล้วแกล่ะเป็นใคร เข้าไปทำอะไรในบ้านน้ำมนต์”
เจี๊ยบกับแจ๊วต่างคนต่างมองสารรูปกันและกัน พีระเซ็งๆ
“พวกแกเป็นใครก็ช่าง แต่บอกมาก่อนว่าฉันเป็นใคร”
แจ๊วกับเจี๊ยบโพล่งออกมาพร้อมกัน
“หรือว่า...แกเป็นขโมย”
พีระส่ายหน้า
“ฉันไม่ใช่ขโมย ฉันเป็นใคร”
แจ๊วกับเจี๊ยบพูดพร้อมกันอีก
“ฉันจะแจ้งตำรวจ”
พีระชี้ตัวเอง
“ฉันเป็นใคร”
แจ๊วกับเจี๊ยบนึกได้พูดพร้อมกันอีก
“อย่าแจ้งนะ”
แจ๊วกับเจี๊ยบต่างเข้าไปห้ามกันไม่ให้กดโทรศัพท์ออก ในขณะที่พีระก็อยากรู้แต่ว่าตัวเองคือใคร
“บอกฉันก่อนได้มั้ยแล้วค่อยตีกัน”
แมนสรวงยืนมอง ส่ายหัว ปลงพวกมนุษย์
“แมนสรวง นายช่วยฉันหน่อยสิ”
พีระขอร้อง
น้ำมนต์นั่งมาในรถกับเมสินี แปลกใจที่เห็นรถออกนอกเมือง
“คุณเมจะพาน้ำมนต์ไปไหนคะ”
“ไม่บอก เซอร์ไพร้ส์”
เมสินียิ้มแย้มคิกคัก น้ำมนต์แปลกใจ แต่ไม่ได้ติดใจอะไร
เจี๊ยบกับแจ๊วต่างดึงมือถือของอีกฝ่าย ยื้อยุดกันไปมา แล้วในที่สุด ทั้งคู่ก็เสียหลักล้มทับกัน โดยที่แจ๊วอยู่ด้านบน ทั้งสองสบตากันปิ๊งปั๊ง ราวกับเวลาหยุดนิ่ง เจี๊ยบพึมพำ
“ล้มทับ หน้าใกล้ หายใจถี่”
พีระหันไปกระซิบแมนสรวง
“แบบนี้ใช่มั้ยที่พระเอกนางเอกละครรู้สึกกัน”
เจี๊ยบทำหน้าเคลิ้ม แจ๊วทำหน้าเหรอหรา ก่อนจะกลายเป็นหน้าถมึงทึง
“เธอก็รู้สึกเหมือนกันใช่มั้ย” เจี๊ยบถามเสียงหวาน
“รู้สึกอะไร” แจ๊วงงๆ
“หัวใจเต้นเหมือนมีวงกลองยาวอยู่ในนั้น”
“ฉันรู้สึกอยากฆ่าคนมากกว่า” แจ๊วชูมือ ทำกรงเล็บ แล้วข่วนหน้า
เจี๊ยบโดนข่วนร้องลั่น
“จ๊าก”
แจ๊วผละออกจากเจี๊ยบทันที
“รู้ไว้ด้วยนะว่าบ้านนี้ฉันคุม...” แจ๊วคว้าไม้กวาด “ถ้าแกยังไม่ออกไป หัวแตกแน่”
แจ๊ววิ่งไปเอาไม้ฟาด แต่เจี๊ยบจับไว้ ยื้อกัน แล้วเสียหลักล้มทับกันอีก
“ล้มทับ หน้าใกล้ หายใจถี่ อีกแล้ว...เนื้อคู่แน่ๆ”
“เนื้อคี่น่ะสิ”
แจ๊วผละออก ไล่ตีอีก จนเจี๊ยบต้องถอยหนีก่อน
“ไปแล้วๆ”
เจี๊ยบรีบกุมหน้า ลนลานออกไป
เจี๊ยบวิ่งหนีออกมา ถนน ละแวกบ้านน้ำมนต์
“น้ำมนต์เอาใครที่ไหนมาเฝ้าบ้าน ดุยังกับเสือ"
อยู่ๆมีกระดาษปลิวมาติดหน้า เจี๊ยบรีบหยิบออก พบว่ามันคือกระดาษที่มีรูปวาดของพีระ แมนสรวงเข้ามา
“ขอโทษนะครับ รูปนั่นของผมครับ”
เจี๊ยบแปลกใจ
“ทำไมคุณมีรูปนี้”
“คุณน้ำมนต์ให้ผมช่วยสืบเรื่องคนๆนี้...นี่ผมจะมาแจ้งผล น้ำมนต์อยู่บ้านใช่มั้ยครับ”
เจี๊ยบรีบขวาง
“เฮ้ยๆ น้ำมนต์ใช้ผมแล้ว ทำไมต้องไปใช้คุณด้วย”
“เขาอาจจะไม่ไว้ใจคุณมั้งครับ เพราะเขารู้ว่าผมมืออาชีพ”
“มาทางไหนไปทางนั้น ความดีความชอบนี้เป็นของผม ข่าวของผมได้มาจากตำรวจ และตรวจสอบเช็กความถูกต้องแล้ว”
“ได้ข้อมูลอะไรมา ไหนบอกมาสิ”
เจี๊ยบเชิด
“บอกก็กลัวดิ”
แมนสรวงจ้องตา
“บอกมา”
เจี๊ยบที่สบตาแมนสรวงเหมือนถูกตรึงดวงตาไว้ด้วยอำนาจบางอย่าง
“ผู้ชายคนนี้ชื่อคุณพีท พีระ”
พีระแปลกใจ
“คุณพีท พีระ...ชื่อฉันเหรอ หล่อว่ะ”
“เป็นลูกชายคนเดียวของคุณธีระศิลป์ ภาคภูมิใจบรรหาร เจ้าของสถานีโทรทัศน์พราวด์ดิจิตัล”
แมนสรวงกับพีระอึ้ง
“อะไรนะ”
พีระตะลึง ช็อก
“ฉันคือ...ลูกเจ้าของสถานีโทรทัศน์พราวด์ดิจิตัล”
เศษเสี้ยวความทรงจำของพีระแว่บเข้ามาอย่างรวดเร็ว ภาพความคุ้นเคยต่างๆที่สถานีพราวด์ เช่น ภาพมุมต่างๆที่คุ้นเคย ภาพทางเดิน
ภาพป้ายชื่อสถานี ภาพห้องทำงาน จนกระทั่งจบที่ภาพหน้าเมสินี
พีระผงะ พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรขึ้นมาได้บ้าง
“นี่ใช่มั้ย เหตุผลที่ฉันคุ้นเคยกับสถานีโทรทัศน์...ฉันบอกแล้วว่าฉันเคยไปที่สถานี แต่ไม่มีใครเชื่อ”
“แสดงว่า เศษเสี้ยวความทรงจำที่ติดตัวนายมา ถูกต้อง...ยังงี้นายก็ต้องรีบไปหาพ่อนาย เขาต้องเก็บร่างของนายเอาไว้แน่” แมนสรวงแนะ
“พ่อ...ใช่...เอ๊ะ” พีระชะงัก ฉุกคิดขึ้นมาได้ “เดี๋ยว...ถ้าพ่อฉันเป็นเจ้าของสถานี แล้วทำไมน้ำมนต์ถึงบอกว่าผู้หญิงที่ชื่อเมสินีคือเจ้าของ แล้วที่ฉันรู้สึกไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนั้น...ก็แปลว่า...”
“เมสินีไม่น่าไว้ใจจริงๆ”
“ต้องรีบบอกน้ำมนต์” พีระร้อนใจ
วัดนอกเมือง...เมสินีกับน้ำมนต์เดินออกมาจากพระอุโบสถวัด ยุทธกับสมุนอีกคนตามหลัง
“ขอบใจมากนะน้ำมนต์ที่มาทำบุญเป็นเพื่อนฉัน”
“หนูสิคะต้องขอบคุณที่คุณเมชวนหนูมาทำบุญ”
“ฉันมาทำบุญทุกวันพระอยู่แล้ว พอดีผ่านไปแถวมหาวิทยาลัย เลยแวะเข้าไปถาม เราจะได้ทำบุญร่วมกัน รายการคืนผจญผีกับสถานีพราวด์ดิจิตัลจะได้อยู่คู่กันไปนานๆ” เมสินีจงใจตีหน้าเศร้าให้เห็นชัดแจ้ง
“ค่ะ...เอ่อ...คุณเมมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าคะ”
“ทำไมถามอย่างนั้น”
“หนูเห็นสีหน้าคุณเมไม่สดชื่นเลย เหมือนมีเรื่องทุกข์ใจ ใช่มั้ยคะ”
“นี่ฉันปิดไม่มิดเลยเหรอ”
เมสินีทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาซะอย่างนั้น ยุทธควักทิชชูที่เตรียมมาอย่างพร้อม ยื่นให้ น้ำมนต์ตกใจ นึกว่าพูดอะไรผิดไป
“คุณเมร้องไห้ทำไมคะ ถ้าหนูพูดอะไรผิดไป หนูขอโทษนะคะ”
“ไม่เกี่ยวกับเธอ...ฉันแค่คิดเรื่องนี้ทีไรน้ำตามาเองทุกที เอ่อ ขอตัวไปนั่งสมาธิสงบจิตใจแป๊บนึงนะ”
เมสินีเดินแยกไปใต้ต้นไม้บริเวณนั้น แล้วลงนั่งสมาธิเลย ท่าทางเคร่งธรรมสุดๆ น้ำมนต์รู้สึกแปลกใจ
ยุทธหันมาบอกน้ำมนต์
“คุณเมเป็นคนธรรมะธัมโมอย่างนี้แหละครับ แต่คนไม่ค่อยทราบกัน รู้มั้ยครับว่า แกเป็นเจ้าภาพจัดสวดภาณยักษ์ให้กับเก้าสิบเก้าวัดทั่วประเทศด้วย คนอะไรก็ไม่ทราบ ทั้งสวย สะอาด บริสุทธิ์ ประเสริฐจริงๆ”
น้ำมนต์พลอยชื่นชมเมสินีไปด้วย
หน้าห้องชมรมละครมหาวิทยาลัย...พิมพ์ดาวเดินคุยโทรศัพท์กลับมาที่โต๊ะประจำ
“แกไปจีบใครมากำกับละครเวทีนะ พี่ไตปลา พี่ไตปลา ผู้กำกับหนังที่เพิ่งจะทำเงินไปสามสี่ร้อยล้านน่ะเหรอ แก ฉันจะเป็นลม”
พีระยืนรออยู่กับแมนสรวง ชะเง้อมองหาน้ำมนต์
“ทำไมน้ำมนต์ไม่ออกมาด้วย แมนสรวง ถามให้หน่อยสิ”
แมนสรวงเซ็งๆ
“อีกแล้ว”
“เร็วๆน่า”
แมนสรวงปรากฏตัว แล้วจะเข้าไปถามพิมพ์ดาว
“ขอโทษนะครับ น้ำ...”
พิมพ์ดาวยกมือเบรกแมนสรวงว่าให้รอก่อน
“อะไรนะ...พี่ไตปลาอยากนัดคุยกับคนเขียนบทละครเย็นนี้...โอเคๆ เดี๋ยวฉันโทรตามน้ำมนต์ให้” พิมพ์ดาววางสาย
“ผมขอถามสั้น...”
พิมพ์ดาวยกมือเบรกอีก
“ชู่ว์...น้ำมนต์ แกอยู่ไหน”
แมนสรวงพยายามถาม
“ผมแค่อยากรู้ว่าน้ำมนต์อยู่...”
พิมพ์ดาวยกมือเบรก
“แกไปทำอะไรกับคุณเมสินี”
พีระกับแมนสรวงอึ้งที่ได้รู้ว่าน้ำมนต์อยู่กับเมสินี
“น้ำมนต์อยู่กับเมสินีเหรอ...อยู่ที่ไหน” พีระถามอย่างร้อนใจ
พิมพ์ดาวคุยมือถือต่อ
“ฉันไม่สนว่าแกไปทำอะไรอยู่ที่ไหน แต่แกต้องกลับมาประชุมบทละครด่วน ก่อนห้าโมงเย็น เข้าใจมั้ย”
พิมพ์ดาวจะวางสาย พีระลืมตัวคว้าหมับที่ข้อมือของพิมพ์ดาว
“ถามก่อนว่าอยู่ที่ไหน...ถามสิ ถาม”
พิมพ์ดาวตกใจ ใครจับมือตนก็ไม่รู้ พยายามดึงก็ดึงไม่ออก มองหน้าแมนสรวงที่ยืนนิ่ง ไม่ได้เป็นคนจับ
“คะ...ใครจับมือฉัน”
พีระเพิ่งรู้ตัว รีบปล่อยมือ
“เฮ้ย”
“คุณ...เป็นใคร” พิมพ์ดาวเลิ่กลั่ก กลัว ถอยหนี “อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา”
พิมพ์ดาวรีบวิ่งถอยหนีไป พีระร้องเรียก แต่พิมพ์ดาวไม่หยุด พีระได้แต่เซ็ง
เมสินีกำลังปล่อยปลาลงน้ำ ยุทธกับสมุนช่วยกันหิ้วถังน้ำใส่ปลามาอีกคนละ 2 ถัง น้ำมนต์แปลกใจ
“คุณเมต้องปล่อยปลาเยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“เก้าสิบเก้าถัง”
น้ำมนต์ตะลึง
“โห...”
“นกเก้าสิบเก้ากรง หอยเก้าสิบเก้าถุง เต่าเก้าสิบเก้าตัว”
“โห” น้ำมนต์อึ้ง
“ฉันอยากทำบุญเยอะๆ บุญกุศลจะได้มากพอที่จะทำให้สามีของฉันมีความสุข เธอรู้ใช่มั้ยว่าสามีของฉันคือคุณธีระศิลป์ ผู้ก่อตั้งสถานีพราวด์”
“ค่ะ พี่เอมี่เคยพูดให้ฟังว่าคุณธีระศิลป์ประสบอุบัติเหตุ”
“ใช่...”
เมสินีน้ำตาไหลมาอีก สะอื้นๆ ยุทธรีบส่งทิชชู่ให้
“โถ แค่พูดถึงน้ำตาก็ไหล คุณเมรักท่านมากจริงๆ”
“ฉันอยากให้คุณธีมีความสุข ถ้าพอจะมีบุญกุศลอะไรเหลือ ก็ขอให้ชาติหน้าเราได้กลับมารักกันอีก...แล้วถ้ายังพอมีเหลืออีก ก็หวังว่ามันจะทำให้ลูกชายคุณธี เข้าใจฉันบ้าง”
“คุณธีระศิลป์มีลูกชายด้วยเหรอคะ”
“จ้ะ คุณธีส่งลูกชายไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็ก นานๆจะกลับมาเมืองไทยที เลยไม่ค่อยมีใครรู้จักเขา”
“เขามีปัญหากับคุณเมเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ...”
เมสินีน้ำตาไหล สะอื้นฮักๆอีก ยุทธรีบส่งทิชชูให้
“โถ พูดเรื่องนี้ทีไร น้ำตามาทุกที”
เมสินีบีบน้ำตา น้ำมนต์สงสาร เห็นใจ
อ่านต่อพรุ่งนี้ เวลา09.30น.
พีระกระวนกระวาย
“ถ้าเซ้นของฉันไม่ผิด แสดงว่าน้ำมนต์กำลังอยู่ในอันตราย ฉันจะทำยังไงดี”
“คุณเมสินีไม่ดีแล้วไง เขามีปัญหาอะไรกับน้ำมนต์เหรอ นายถึงต้องเป็นห่วงว่าน้ำมนต์จะมีอันตาย”
“เออจริง...แต่...มันก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี นายช่วยหน่อยสิ”
“เอะอะอะไรก็ให้ฉันช่วยๆ...ทำเองบ้างดิ เอ้า”
แมนสรวงหยิบโทรศัพท์สาธารณะมายื่นให้พีระโทรเอง
น้ำมนต์เดินแยกจากเมสินีและยุทธมารับโทรศัพท์
“น้ำมนต์พูดคะ...นายพีระ มีธุระอะไร”
เมสินีกับยุทธมองตาม จับพิรุธ...พีระพูดโทรศัพท์อยู่ที่เดิม แมนสรวงคอยยืนบังไม่ให้คนที่ผ่านไปมาเห็นว่าโทรศัพท์ลอยได้
“คุณต้องอยู่ห่างจากคุณเมสินีให้มากที่สุด ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนดี”
“อะไรนะ”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน บอกผมมา”
“ฉันไม่บอก แค่นี้นะ”
“อย่าวางๆ...ขอร้องล่ะ บอกมา...อย่างน้อยก็บอกให้ผมสบายใจ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก”
น้ำมนต์ชะงัก ลังเล ตัดสินใจจะบอก
“ที่ไหนนะ” พีระฟัง “ไม่ไกลเท่าไหร่ ฉันจะรีบไป”
น้ำมนต์วางสาย พอดีเมสินีกับยุทธเดินมาถึง
“มาแอบโทรคุยกับใครจ้ะ”
“เอ่อ เพื่อนค่ะ”
“เพื่อน...ท่าทางอย่างนี้ เพื่อนผู้ชายล่ะสิ”
“เอ่อ เราจะกลับกันหรือยังคะ”
น้ำมนต์จะขยับไป แต่ยุทธมายืนขวาง ไม่ยอมให้ไป น้ำมนต์แปลกใจ เมสินีจ้องหน้า
“ยังไปไหนไม่ได้ เพราะฉันมีเรื่องจะต้องถามเธอเรื่องนึง”
“เรื่องอะไรคะ”
“เธอรู้จักนายพีทใช่มั้ย”
“พีท...พีทไหนคะ” น้ำมนต์งงๆ
ยุทธโชว์รูปวาดของพีระ
“คนนี้”
น้ำมนต์ตะลึง
พีระขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบท์ของแมนสรวงเร่งสปีด ฉวัดเฉวียนไปตามถนนต่างๆที่จะมุ่งหน้าไปหาน้ำมนต์ พอเห็นไฟแดงก็เบรกเอี๊ยดแล้วก็นึกได้
“เป็นผี จะติดไฟแดงทำไม...ไปๆ”
น้ำมนต์อึ้งๆ ไม่รู้ว่าเมสินีต้องการอะไร ยุทธจ้องน้ำมนต์คาดคั้น
“ถ้าเธอไม่รู้จัก เธอคงไม่ตามหาคุณพีทใช่มั้ย”
“คุณพีทที่พวกคุณว่า คือคนๆเดียวกับนายพีระ...หรือเปล่า”
เมสินีแทรกขึ้น
“พีระ...นั่นมันชื่อเก่าที่พ่อของเขาตั้งให้ แต่เขาไม่เคยบอกชื่อนี้กับใคร เพราะเขาไม่ชอบชื่อพีระ”
“หนูรู้จักเขา แล้วยังไงเหรอคะ”
“ฉันก็แค่อยากรู้ว่าตอนนี้นายพีทอยู่ที่ไหน ฉันอยากเจอเขา เราจะได้ปรับความเข้าใจกัน”
อยู่ๆเมสินีก็พลิกไปทำตัวน่าสงสาร บ่อน้ำตาแตกอีก น้ำมนต์ชะงัก
“คะ”
ยุทธแจกทิชชูให้เมสินี
“โถ คิดถึงเรื่องนี้น้ำตาแตกอีกแล้ว”
น้ำมนต์มองไม่เข้าใจ
“นี่มันยังไงกันคะ หนูงงไปหมดแล้ว”
ทันใด มีมอเตอร์ไซค์ 4-5 คันแล่นเข้ามาบริเวณนั้น ทุกคันเบิ้นเครื่องส่งเสียงกระหึ่มน่ากลัวมาก มอไซค์คันหนึ่งตะโกน
“ยัยแม่เลี้ยงใจร้าย”
อีกคันเสริม
“อย่าหวังว่าจะได้สมบัติของพราวด์ดิจิตัล”
หัวหน้ามอไซค์ตะโกนลั่น
“วันนี้แกเละแน่...พวกเราลุย”
ยุทธตกใจ
“ฮ้า...พวกแก คุณพีทส่งพวกแกมาใช่มั้ย คุณเมหนีก่อน...ไป วิ่งหนีไปที่รถ ไป”
ยุทธไล่ต้อนให้เมสินีกับน้ำมนต์รีบวิ่งหนีไป พวกมอเตอร์ไซค์โดดลงจากรถ จะวิ่งไปจับตัวเมสินี แต่ยุทธพุ่งเข้าไปขวาง มีบู๊มือกันเล็กน้อย ยุทธอัดพวกมันคว่ำไปได้ แต่ก็ถูกจับล็อกตัวเอาไว้ ยุทธตะโกนสุดเสียง
“คุณเมหนีไป”
เมสินีกับน้ำมนต์วิ่งหนีกันมา พวกแก็งมอเตอร์ไซค์วิ่งไล่ บางส่วนขี่รถไล่ตาม น้ำมนต์กับเมสินีวิ่งมาถึงที่จอดรถ กำลังจะขึ้นรถ แต่พวกมอไซค์วิ่งมาขวางเอาไว้ก่อน กระชากเมสินีไปทาง กระชากน้ำมนต์ไปทาง
“ปล่อยฉัน”
น้ำมนต์ตกใจ พยายามดีดดิ้น และสู้ตามสัญชาติญาณ
“เงียบ”
มอเตอร์ไซค์เงื้อมือจะตบน้ำมนต์ แต่เมสินีร้องห้ามเอาไว้ก่อน
“อย่า...จะทำอะไรก็ทำฉัน แต่ปล่อยเด็กไป เขาไม่รู้เรื่อง”
“เราไม่ทำเด็กอยู่แล้ว เป้าหมายเดียวที่เราได้รับคำสั่งมาก็คือแม่เลี้ยงใจร้ายอย่างแก”
มอไซค์ที่จับตัวน้ำมนต์อยู่ก็เหวี่ยงน้ำมนต์ออกไป พวกมอเตอร์ไซค์ควักมีดพกกันออกมาคนละเล่ม เป้าหมายคือเมสินี น้ำมนต์เห็นมีด ตะลึง
“พวกคุณจะทำอะไร”
หัวหน้ามอไซค์ชี้หน้าน้ำมนต์ ขู่
“เด็กอยู่ส่วนเด็ก ไม่งั้นอย่าหาว่าไม่เตือน”
“คราวนี้นายพีทถึงกับใช้อาวุธเลยเหรอ” เมสินีโวย
น้ำมนต์ร้องห้าม
“อย่าทำอะไรคุณเมนะ อย่า”
“พวกเราจัดการ”
พวกมอเตอร์ไซค์สมุนเข้าไปรุมล้อมเมสินี แต่อยู่ๆยุทธวิ่งเข้ามา มีชาวบ้านตามมาด้วย3-4คน
“ตำรวจมา พวกมันอยู่ทางนี้ จับพวกมันไปเลย”
พวกมอเตอร์ไซค์ตกใจ ทิ้งเมสินี แล้วต่างพากันวิ่งหนี ขี่รถหนี แยกย้ายกันไปหมด เมสินีทรุดหมดแรง น้ำมนต์เข้าประคอง
“คุณเม เป็นไงบ้างคะ”
“ฝีมือนายพีท...เธอเห็นแล้วใช่มั้ยว่านายพีทเกลียดฉันแค่ไหน”
เมสินีร้องไห้
เมสินีนั่งลง น้ำมนต์ถามขึ้น
“คนพวกนี้ นายพีระส่งมาจริงๆงั้นเหรอ”
“ไม่มีคนอื่นอีกแล้วครับ” ยุทธตอบ
“วันก่อน เขายังไปดักฉันที่หน้าบ้านอยู่เลย”
น้ำมนต์แปลกใจ
“เหรอคะ...เอ่อ คุณเมช่วยเล่าเรื่องของนายพีระให้หนูฟังหน่อยได้มั้ยคะ”
“ฉันแต่งงานกับคุณธี พ่อของนายพีท ฉันพยายามจะเป็นแม่เลี้ยงที่ดีให้กับเขา ให้ความรัก ความเอาใจใส่เหมือนแม่แท้ๆ แต่เขาไม่ยอมรับฉัน...เขาคิดว่าฉันจะมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา แต่ไม่ใช่เลย ฉันไม่เคยอยากได้อะไรของคุณธีสักบาทเดียว”
บ้านธีระศิลป์ในอดีตก็คือบ้านที่เมสินีอยู่ในปัจจุบัน...พีระในวัยหนุ่ม แต่งตัวเฮี้ยวประสาเด็กแว้น กางเกงขาเดฟ เสื้อรัดรูป ผมตั้งหนาม ส่วนเมสินีแต่งตัวสวยงาม บอบบาง ดูแม่พระ นางงามสุดๆ ...เมสินีที่ถูกผลักจมล้มลงไปร้องไห้ แล้วพีระก็อาละวาดเขวี้ยงข้าวของซ้ำ
“นายพีทเกลียดฉันมาก พยายามขับไล่ฉันทุกทาง”
พีระจุดไฟเผาเสื้อผ้าของเมสินี แล้วก็ระเบิดหัวเราะอย่างผู้ร้ายหนังไทย ในขณะที่เมสินียืนบีบน้ำตาทำตัวบอบบางอยู่ใกล้ๆกัน
“ทุกทางจริงๆ”
พีระจูงหมาเยอรมันเชพเพิร์ดแล้วชี้นิ้วสั่งให้หมาเห่าไล่เมสินี หมาแง่งงั่งๆ เมสินีร้องและวิ่งหนีอย่างบอบบาง
“ทุกทางจริงจริ๊ง” เมสินีเน้นเสียง
พีระเดินมายืนประจันหน้าเมสินี แล้วก็ปรากฏแก๊งชายนักกล้าม 5 คนยืนเป็นบริวารของพีระ ทุกคนหักนิ้วมือพร้อมจะรุมอัดเมสินี เธอตกใจ มือไม้สั่นด้วยความกลัว
ปัจจุบัน...เมสินีน้ำตานองหน้ามากๆ เล่าความเท็จต่อไป
“ชะ...ฉัน อดทนอดกลั้น ไม่บอกเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะคุณธี แต่สุดท้ายคุณธีก็รู้”
ยุทธเสริม
“ผมเป็นคนบอกเอง เพราะผมทนไม่ได้ที่ต้องเห็นคนดีๆถูกทำร้าย”
“คุณธีก็เลยจับตัวนายพีทไปส่งโรงพยาบาล ผลปรากฏว่า...นายพีทเป็นโรคจิต”
น้ำมนต์ชะงัก
“นายพีระเป็นโรคจิต”
“คุณธีไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นข่าว ก็เลยตัดสินใจส่งคุณพีทไปเรียนเมืองนอก และไม่ให้กลับมาเมืองไทยอีก” ยุทธบอก
“แต่ฉันรู้ว่า ตอนนี้เขากลับมาแล้ว และกำลังหลบซ่อนตัวที่ไหนอยู่...น้ำมนต์ ฉันอยากปรับความเข้าใจกับเขา ถ้าเธอรู้ที่อยู่นายพีท บอกฉันได้มั้ย”
เมสินีกับยุทธเว้าวอน ขอร้อง น้ำมนต์สับสน มึนงง ตั้งตัวไม่ทัน
“เธอรู้ใช่มั้ยน้ำมนต์ บอกฉันเถอะ” เมสินีคาดคั้น
น้ำมนต์อึกอัก
“เอ่อ คือ...พีระ...อยู่...”
น้ำมนต์ทำท่าเหมือนจะบอกความจริง แต่อยู่ๆมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบท์ขี่พุ่งเข้ามาปาดจอดตรงหน้าน้ำมนต์
“อย่าบอก”
น้ำมนต์เห็นพีระก็ชะงัก เมสินีคาดคั้น
“พีระอยู่ที่ไหน...”
พีระรีบบอก
“ผู้หญิงคนนี้ไว้ใจไม่ได้”
น้ำมนต์สับสน ระแวงพีระด้วย
“เราไปคุยกันในรถดีกว่าค่ะ”
น้ำมนต์เดินขึ้นรถไป พีระจะตามไป แต่กลับต้องผงะถอยออกมา
“โอ๊ย”
พีระมองไปที่หน้ารถ มีผ้ายันต์ใส่กรอบห้อยเอาไว้เป็นเครื่องรางประจำรถ กำลังเปล่งแสงวาบ พีระได้แต่มองรถของเมสินีแล่นออกไป
“น้ำมนต์ คุณอย่าไว้ใจผู้หญิงคนนั้น”
พีระหวั่นใจ ไม่รู้ว่าน้ำมนต์จะเชื่อเมสินีมากน้อยแค่ไหน
บ้านน้ำมนต์ ยามค่ำคืน...พีระกระวนกระวายรอน้ำมนต์อยู่ ทันใดเธอเดินกลับเข้ามา เขารีบพุ่งเข้าไปหา
“คุณบอกอะไรคุณเมสินีไปบ้าง บอกผมมาให้หมด”
“คิดว่าฉันจะบอกอะไรล่ะ”
“จะไปรู้เหรอ ก็บอกผมมาสิ”
แต่น้ำมนต์กลับมองหน้าพีระอย่างพินิจพิจารณา ทบทวน
“ทำไมมองผมอย่างนั้น”
“นายเป็นคนยังไงกันแน่”
“ผมก็เป็นอย่างที่เห็น”
“ตอนมีชีวิตอยู่ นายนิสัยยังไง กะล่อน กวนประสาทแบบตอนนี้ หรือจริงๆแล้วไม่ใช่เลย ตรงกันข้ามทุกอย่าง”
“ทำไมอยู่ดีๆถามอย่างนี้ พวกมันพูดอะไรกับคุณ”
“พวกเขาพูดหลายอย่าง แต่ไม่ต้องห่วง ฉันมีวิจารณญาณ ฉันไม่ให้คุณเมสินีหลอกได้หรอก”
น้ำมนต์หน้าเครียด
ในรถเมสินีก่อนหน้านี้...น้ำมนต์นั่งมาในรถกับเมสินี
“น้ำมนต์...จะถึงสถานีอยู่แล้ว จะบอกฉันได้หรือยังว่านายพีทอยู่ที่ไหน”
“หนูไม่ทราบค่ะ”
เมสินีชะงัก
“หือ...”
“หนูถึงต้องเอารูปของเขาไปเที่ยวตามหาตัวเขายังไงคะ”
“โกหก” ยุทธตวาด
“หนูพูดจริงๆค่ะ ทำไมคุณยุทธถึงคิดว่าหนูโกหกล่ะคะ”
เมสินีตัดบท
“ถ้าเธอยืนยันว่าไม่รู้ ก็ไม่เป็นไร...แต่ถ้ารู้เมื่อไหร่ สัญญาได้มั้ยว่าจะบอกฉัน”
“ค่ะ...”
เมสินียิ้มกลบเกลื่อนให้น้ำมนต์ ยุทธท่าทางไม่สบอารมณ์
น้ำมนต์เล่าทุกอย่างให้พีระฟังต่อ
“เขาบอกว่า...นายส่งคนไปลอบทำร้ายเขา แล้วไม่กี่วันก่อนยังเจอนายไปดักรอที่หน้าบ้านอีก”
“ไปดักรอหน้าบ้าน เขาจะเห็นผมได้ไง” พีระงงๆ
“ใช่ เขาโกหกอย่างนั้นทำไมก็ไม่รู้ ฉันว่ามันแปลกๆ เรื่องที่คุณเมเล่ามาก็ไม่รู้เรื่องจริงหรือแต่ง ฉันก็เลยยังไม่ได้บอกอะไรเขา”
“คุณไหวพริบดีมาก ฉลาดที่สุดในโลก สมแล้วที่ได้เป็นแฟนผม”
น้ำมนต์ชะงัก
“อะไรนะ”
“คุณฉลาดสมเป็นแฟนผม” พีระโอบไหล่
“ใครอนุญาตให้นายมาโอบฉัน”
น้ำมนต์ไล่ตี พีระหลบๆ แล้วพลิกกลับมาจับตัวน้ำมนต์เอาไว้ ทั้งคู่ใกล้ชิดกัน น้ำมนต์แววตาเหรอหรา ระริก ตื่นๆ
“ขอบคุณนะที่คุณเชื่อใจผม...ตอนนี้ผมรู้เรื่องของตัวเองมากขึ้นแล้ว อีกไม่นานผมต้องตามหาร่างเจอแน่ ชีวิตผมเป็นหนี้บุญคุณคุณนะ”
“ยังไม่ทันหาเจอ อย่าเพิ่งรีบขอบคุณได้ปะ”
“ก็อยากบอกไว้ก่อนเลย กลัวไม่มีโอกาสบอก”
“บ้า อย่าพูดอย่างนี้”
หน้าบ้านน้ำมนต์...ยุทธนั่งอยู่ในรถที่จอดอยู่ด้านนอกบ้าน ถือกล้องส่องทางไกลคอยส่องมองเห็นน้ำมนต์ไล่ตีอากาศอยู่คนเดียว
“ไล่ตีอะไร...สงสัยจะไล่ตียุง”
มือถือของยุทธดังขึ้น เขารับสาย
“ครับคุณเม...อยู่หน้าบ้านน้ำมนต์แล้วครับ ไม่มีอะไรผิดปกติเลยครับ ตั้งแต่กลับมา น้ำมนต์ก็ไม่ได้โทรไปหาใคร หรือจะออกจากบ้านไปหาคุณพีท ก็ไม่มีวี่แววเลยครับ”
“จับตามันเอาไว้ ถ้ามันรู้จักนายพีทจริง ฉันมั่นใจว่ามันต้องติดต่อนายพีทแน่” เมสินีวางสาย “นายพีท ฉันจะต้องหาแกให้เจอ จะไม่ปล่อยให้แกอยู่เป็นเสี้ยนหนามของชีวิตฉัน”
เมสินีแค้น คิดจัดการพีระ
จบตอนที่ 4