คอลัมน์ “สกอร์บอร์ด” โดย “แมวดำ”
ข่าวคราวในแวดวงลูกหนังโตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก 2014 ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีแต่เรื่องราวการปลด และเปลี่ยนโค้ชให้เห็นกันเป็นว่าเล่น ไล่มาตั้งแต่ สกอตต์ คูเปอร์ แยกทางกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันคุมทีมโดย พล ชมชื่น โค้ชคนไทยที่เข้าใจและพาทีมขยับมารั้งจ่าฝูงอย่างสวยงาม ต่อมาก็เป็น สมชาย ชวยบุญชุม กุนซือโคตรเก๋าผู้มากประสบการณ์ แต่สถานการณ์ของทีม “ปลาทูคะนอง” สมุทรสงคราม เอฟซี กลับร่อแร่อยู่ท้ายตาราง จนต้องอำลาทีมไป
ขณะที่แชมป์เก่า “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็ได้ โบซิดาร์ บันโดวิช มารับงานต่อจาก อเลฮานโดร เมเนนเดส ที่ผลงานย่ำแย่จนอาจส่งผลให้ยอดทีมจากภาคอีสานชวดการป้องกันแชมป์ลีก ไม่เว้นแม้แต่ทีมกลางตารางอย่าง แบงค็อก ยูไนเต็ด รวมถึง เพื่อนตำรวจ ที่ต้องปรับเปลี่ยนโค้ชกันตั้งแต่ยังฟาดแข้งกันไปไม่ถึง 10 นัดในลีก
เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในลีกอย่างเห็นได้ชัดว่ามีการให้ความสำคัญกับผลงานของสโมสรไม่น้อย แตกต่างจากครั้งอดีตที่การปรับเปลี่ยนโค้ชถือเป็นเรื่องน่ากังวล และยากที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อขยับและปรับปรุงผลงานของทีมให้กระเตื้องขึ้น
ไม่เฉพาะกับทีมฟุตบอลที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อยกระดับผลงานเท่านั้น ในระดับทวีปเอเชีย ก็มีการยกเครื่องกันยกใหญ่ เมื่อสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ “เอเอฟซี” ต้องการเห็นสโมสรในทวีปมีพัฒนาการที่สูงขึ้น ด้วยการประกาศให้มีการคิดอันดับทีมที่จะเข้าแข่งขันฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก และฟุตบอลเอเอฟซี คัพ จากการคิดคะแนนจากผลงานสโมสรในแต่ละประเทศมาเป็น 70% และทีมชาติแค่ 30%
การประกาศดังกล่าวส่งผลกระทบต่อไทยพรีเมียร์ลีกอย่างไม่อาจลีกเลี่ยงได้ เพราะคะแนนของสโมสรที่เพิ่มขึ้นหมายถึงสโมสรต่างๆ ต้องมีการจัดการที่เป็นรูปธรรม ไม่แค่เพียงเฉพาะผลงานเท่านั้น แต่หมายรวมถึงมาตรฐานการจัดการด้านอื่นๆ เพื่อยกระดับตัวตนสู่ความเป็นทีมลูกหนังอาชีพ
เรื่องดังกล่าวคงสร้างความหนักใจให้กับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ไม่น้อย เพราะมาตรฐานที่ว่ากันว่าสโมสรต่างๆ ต้องมีเป็นปัจจัยพื้นฐานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ซึ่งทุกสโมสรต้องมีเป็นของตัวเอง คือ สนามเหย้า ทุกวันนี้หลายสโมสรในลีกระดับสูงสุดของบ้านเรามีหลายทีมยังไม่มีที่สิงสถิตเป็นของตนเองอย่างแท้จริง หรือถึงมีก็ไม่ได้มาตรฐานใดๆ เลย
บางสโมสรแม้จะปักหลักอยู่ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ในภูมิภาค ทว่าสนามแข่งขันที่ใช้กลับเป็นพื้นที่ของ องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ “อบจ.” พูดกันง่ายๆ ก็ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของสโมสร มีหรือประธานสโมสรต่างๆ จะกล้าไปควักคลังมาถลุงปรับปรุงสนามของคนอื่น
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้สมาคมฟุตบอลฯ คงต้องมาไล่บี้ให้ทีมต่างๆ กลับไปทำการบ้านกองโตกลับมาส่ง เพื่อยกระดับลีกในประเทศกันต่อไป....
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
ข่าวคราวในแวดวงลูกหนังโตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก 2014 ช่วงนี้ดูเหมือนจะมีแต่เรื่องราวการปลด และเปลี่ยนโค้ชให้เห็นกันเป็นว่าเล่น ไล่มาตั้งแต่ สกอตต์ คูเปอร์ แยกทางกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันคุมทีมโดย พล ชมชื่น โค้ชคนไทยที่เข้าใจและพาทีมขยับมารั้งจ่าฝูงอย่างสวยงาม ต่อมาก็เป็น สมชาย ชวยบุญชุม กุนซือโคตรเก๋าผู้มากประสบการณ์ แต่สถานการณ์ของทีม “ปลาทูคะนอง” สมุทรสงคราม เอฟซี กลับร่อแร่อยู่ท้ายตาราง จนต้องอำลาทีมไป
ขณะที่แชมป์เก่า “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็ได้ โบซิดาร์ บันโดวิช มารับงานต่อจาก อเลฮานโดร เมเนนเดส ที่ผลงานย่ำแย่จนอาจส่งผลให้ยอดทีมจากภาคอีสานชวดการป้องกันแชมป์ลีก ไม่เว้นแม้แต่ทีมกลางตารางอย่าง แบงค็อก ยูไนเต็ด รวมถึง เพื่อนตำรวจ ที่ต้องปรับเปลี่ยนโค้ชกันตั้งแต่ยังฟาดแข้งกันไปไม่ถึง 10 นัดในลีก
เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในลีกอย่างเห็นได้ชัดว่ามีการให้ความสำคัญกับผลงานของสโมสรไม่น้อย แตกต่างจากครั้งอดีตที่การปรับเปลี่ยนโค้ชถือเป็นเรื่องน่ากังวล และยากที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อขยับและปรับปรุงผลงานของทีมให้กระเตื้องขึ้น
ไม่เฉพาะกับทีมฟุตบอลที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อยกระดับผลงานเท่านั้น ในระดับทวีปเอเชีย ก็มีการยกเครื่องกันยกใหญ่ เมื่อสมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย หรือ “เอเอฟซี” ต้องการเห็นสโมสรในทวีปมีพัฒนาการที่สูงขึ้น ด้วยการประกาศให้มีการคิดอันดับทีมที่จะเข้าแข่งขันฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก และฟุตบอลเอเอฟซี คัพ จากการคิดคะแนนจากผลงานสโมสรในแต่ละประเทศมาเป็น 70% และทีมชาติแค่ 30%
การประกาศดังกล่าวส่งผลกระทบต่อไทยพรีเมียร์ลีกอย่างไม่อาจลีกเลี่ยงได้ เพราะคะแนนของสโมสรที่เพิ่มขึ้นหมายถึงสโมสรต่างๆ ต้องมีการจัดการที่เป็นรูปธรรม ไม่แค่เพียงเฉพาะผลงานเท่านั้น แต่หมายรวมถึงมาตรฐานการจัดการด้านอื่นๆ เพื่อยกระดับตัวตนสู่ความเป็นทีมลูกหนังอาชีพ
เรื่องดังกล่าวคงสร้างความหนักใจให้กับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ไม่น้อย เพราะมาตรฐานที่ว่ากันว่าสโมสรต่างๆ ต้องมีเป็นปัจจัยพื้นฐานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ซึ่งทุกสโมสรต้องมีเป็นของตัวเอง คือ สนามเหย้า ทุกวันนี้หลายสโมสรในลีกระดับสูงสุดของบ้านเรามีหลายทีมยังไม่มีที่สิงสถิตเป็นของตนเองอย่างแท้จริง หรือถึงมีก็ไม่ได้มาตรฐานใดๆ เลย
บางสโมสรแม้จะปักหลักอยู่ในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ในภูมิภาค ทว่าสนามแข่งขันที่ใช้กลับเป็นพื้นที่ของ องค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ “อบจ.” พูดกันง่ายๆ ก็ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของสโมสร มีหรือประธานสโมสรต่างๆ จะกล้าไปควักคลังมาถลุงปรับปรุงสนามของคนอื่น
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้สมาคมฟุตบอลฯ คงต้องมาไล่บี้ให้ทีมต่างๆ กลับไปทำการบ้านกองโตกลับมาส่ง เพื่อยกระดับลีกในประเทศกันต่อไป....
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *
