เอเยนซี - “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กำลังนับถอยหลังสู่ตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาลนี้ ชนิดไม่ต้องสนหน้าอินทร์หน้าพรหม หากคว้าชัย 4 นัดที่เหลือ ซึ่งหากทำได้สิ้นสุดการรอคอย 24 ปีของสาวก “เดอะ ค็อป” ซิวแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้สำเร็จ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลังขับเคลื่อนแนวรุกที่นำโดย หลุยส์ ซัวเรซ กับ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ คู่หน้ารหัสอันตราย “SAS” ที่ซัดรวมกันไปแล้ว 49 ประตู
หนึ่งในปัจจัยที่ตำแหน่งแชมป์ควรมีก็คือกองหน้าที่ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำ ซึ่ง ลิเวอร์พูล ได้ ซัวเรซ หอกทีมชาติอุรุกวัย ถลุงไปแล้ว 29 ประตู ตำแหน่งรองเท้าทองคำ พรีเมียร์ ลีก อยู่แค่เอื้อม ยิ่งปีนี้ได้กองหนุนอย่าง สเตอร์ริดจ์ ดีกรีทีมชาติอังกฤษ เสริมงาน 20 ประตู แม้ว่าล่าสุดทั้งคู่จะไม่มีชื่อขึ้นสกอร์บอร์ดเกมเปิด แอนฟิลด์ เฉือน แมนเชสเตอร์ ซิตี 3-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายนที่ผ่านมาจนดึงโมเมนตัมกลับมาอยู่ในมือได้ก็ตาม
แน่นอนว่าส่วนใหญ่คู่หูที่ช่วยกันซัดประตูถล่มทลายมักจะเป็นกองหน้า อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ ลีก คนที่ยิงรวมกันเยอะสุด 55 ลูกคือ แอนดี โคล (หัวหอก) 34 ประตู กับ ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ (กองกลาง) 21 ประตู ทว่าฤดูกาลนั้น 1993-94 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ได้แค่อันดับ 3 เท่านั้น สมัยนั้นยังเตะกันทั้งสิ้น 42 เกม
ช่วงกลางทศวรรษ 90 ถือว่า นิวคาสเซิล มีแนวรุกที่จัดจ้านมาก ฤดูกาล 1996-97 ก็ใกล้เคียงกับการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อีกครั้ง คราวนี้เป็นการโชว์ของคู่หน้า อลัน เชียเรอร์ 25 ประตู กับ เลส เฟอร์ดินานด์ 16 ประตู ทว่าก็ต้องกลายเป็นพระรองของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกครั้ง
ย้อนไปก่อนหน้านั้นฤดูกาลเดียวเชื่อว่าหลายคนจำได้แม่น สาวก “ทูน อาร์มี” ต้องชอกช้ำระกำทรวง เนื่องจากโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมภายใต้การคุมทัพของ เควิน คีแกน มีโอกาสคว้าแชมป์ลีกรอบ 69 ปี เมื่อทิ้งห่างถึง 12 แต้มช่วงปลายเดือนมกราคม แต่ต้องเจอ แมนฯยู เดือนมีนาคม และเป็น เอริค คันโตนา ซัดนำชัย 1-0 ถึง เซนต์ เจมส์ ปาร์ค บีบช่องว่างเหลือเลขตัวเดียว ตอนนั้นต้องตัดสินเกมสุดท้ายอาจมีเพลย์ออฟที่ เวมบลีย์ ทว่า “ผีแดง” แชมป์ เมื่อยำ มิดเดิลสโบรช์ 3-0 ด้าน “สาลิกา” เสมอ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 1-1 ถือเป็นการปิดฉากยุคทองไร้แชมป์ติดมืออย่างน่าเสียดายก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามสโมสรที่ประสบความสำเร็จแถมมีคู่หน้า “SAS” เหมือน ลิเวอร์พูล ปีนี้ก็คือ แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ทำไว้ฤดูกาล 1994-95 แบ่งเป็น อลัน เชียเรอร์ 34 ประตู กับ คริส ซัตตัน 15 ประตู พร้อมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เบียด แมนฯยู ไปเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้นคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ได้สำเร็จ ซึ่งก็เป็นกุนซือ เคนนี ดัลกลิช ที่เคยอกหักกับ นิวคาสเซิล มาก่อนหน้านี้ด้วย
ขณะที่ฤดูกาล 1999-2000 ก็มีเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนบอลเหมือนกัน เมื่อ ซันเดอร์แลนด์ ได้คู่หูต่างไซส์ซัดรวมกันไป 44 ประตูจาก เควิน ฟิลลิปส์ 30 ประตู กับ ไนออล ควินน์ 14 ประตู คว้าอันดับ 7 ไปครองได้อย่างน่าตกใจทั้งที่เพิ่งเลื่อนขึ้นมาหมาดๆ
ด้าน ลิเวอร์พูล เคยมีหัวหอกระดับพระกาฬที่กองหลังหน้าไหนเห็นก็ต้องประหวั่นพรั่นพรึงคู่หนึ่งคือ สแตน คอลลีมอร์ กับ ร็อบบี ฟาวเลอร์ ฤดูกาล 1995-96 ซัดรวมไป 42 ประตูแบ่งเป็นคนละ 14 กับ 28 ลูกตามลำดับ ซึ่งก็น่าเสียดายที่ปีนั้นไม่มีลุ้นอะไรจบอันดับ 3 เท่านั้น ถัดมาปี 1996-97 ยิงไปคนละ 18 กับ 12 ประตูตามลำดับ ทว่า “หงส์แดง” ก็ยังไม่ถึงฝั่งฝันได้ที่ 4 เท่านั้น ตามด้วย 1998-99 เป็นเลือดใหม่อย่าง ไมเคิล โอเวน 18 ประตูกับ ฟาวเลอร์ 14 ประตู แต่ไม่ได้ลุ้นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
จากนี้เหลืออีก 4 นัดเริ่มจากไปเยือน นอริช ซิตี วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายนนี้ ตามด้วยเปิด แอนฟิลด์ พบ เชลซี วันที่ 27 เม.ย.สลับไปเยือน คริสตัล พาเลซ วันที่ 5 พฤษภาคม ปิดท้ายที่บ้านพบ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด วันที่ 11 พ.ค. ต้องลุ้นกันว่าถ้วย พรีเมียร์ ลีก จะถูกผูกโบว์สีแดงลำเลียงมาเพื่อ ลิเวอร์พูล หรือไม่ แต่อื่นใดทั้ง ซัวเรซ และ สเตอร์ริดจ์ ช่วยกันยิงอีก 7 ประตูก็จะกลายเป็นสถิติใหม่คู่ถล่มประตูสูงสุดทันที ซึ่งถามใครก็ต้องตอบว่าอยากได้แชมป์มากกว่า แต่ถ้าได้ 2 เด้งก็จะถือว่าเป็นปีที่หอมหวานที่สุดเลยทีเดียว
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *