เอเยนซี - สตีเวน เจอร์ราร์ด กลายเป็นตัวแทนจากค่าย แอนฟิลด์ คนแรกที่ตบเท้าออกมาประกาศก้องว่าขอคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ หลังกองกลางกัปตันทีม ลิเวอร์พูล เหมา 2 จุดโทษบุกต้อน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 ศึก “วันแดงเดือด” เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2557 ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างสงวนท่าที โดยเฉพาะ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือที่ย้ำว่าเป้าหมายยังคงเหมือนแรกเริ่มคือท็อปโฟร์กลับไปเล่น ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ทว่าตอนนี้เกินว่าที่ตั้งเอาไว้มีโอกาสสิ้นสุดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกรอบ 24 ปี
เจอร์ราร์ด วืดทำแฮตทริกจากจุดโทษ หลังจาก 2 ลูกแรกไม่พลาดเป้ายิงไปทางซ้ายมือของ ดาบิด เด เคอา นาที 34 กับ 46 ตามลำดับ ทว่าสุดท้ายนาที 78 ชนโคนเสา ก่อนที่ หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัยซัดปิดกล่องนาที 84 จบเกม ลิเวอร์พูล บุกชนะ แมนฯยู ที่เหลือ 10 คน เพราะ เนมานยา วิดิช กองกลางกัปตันเลือดเซิร์บถูกใบแดงนาที 77 ไป 3-0 โดยถือเป็นชัยชนะแรกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด นับตั้งแต่ปี 2009 ส่งผลให้ “หงส์แดง” มี 62 แต้มจาก 29 นัดตามจ่าฝูง เชลซี 4 แต้ม แถมแข่งน้อยกว่า 1 นัด
หลังเกม เจอร์ราร์ด กองกลางวัย 33 ปี ที่ยังไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดนับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ถิ่น แอนฟิลด์ เมื่อปี 1998 กล่าวว่า “เราทุกคนเชื่อว่าสามารถคว้าแชมป์ลีก ผมมาเยือน โอลด์ แทรฟฟอร์ด หลายครั้งทราบดีว่าสถานที่แห่งนี้ยากที่จะคว้าชัยกลับออกไป แต่เมื่อเล่นได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงน่าจะยิงได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ ทำให้ทีมมั่นใจ จากนี้ ลิเวอร์พูล ต้องการลงเล่นเกมต่อไปให้เร็วที่สุด เพราะรู้ดีว่าการเจอกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี ก็ยากไม่น้อย แต่ก็น่าจะแสดงความมุ่งมั่นออกมาพร้อมสู้จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย”
สถานการณ์คั่วแชมป์ พรีเมียร์ ลีก ณ เวลานี้เรียกว่าออกได้ทั้ง 4 หน้าไล่ตั้งแต่ เชลซี (30 นัด 66 แต้ม) ลิเวอร์พูล (29 นัด 62 แต้ม) อาร์เซนอล (29 นัด 62 แต้ม) และ แมนเชสเตอร์ ซิตี (27 นัด 60 แต้ม) โดยเป็น “เรือใบ” กุมความได้เปรียบจาก 3 เกมตกค้างในมือ ถ้ากวาดชัยเรียบวุธจะขึ้นมาเป็น 69 แต้ม แซงนั่งบัลลังก์จ่าฝูงทันที
เมื่อพิจารณาจากโปรแกรมแล้ว ลิเวอร์พูล ไม่มีห่วงให้ต้องกังวลถ้วยอื่น เช่นเดียวกับ แมนฯซิตี ทว่าใครจะการันตีว่าลูกทีม มานูเอล เปเยกรินี จะเก็บ 9 แต้มในมือได้ทั้งหมด จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งให้ “หงส์แดง” มีลุ้นคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1989-90 หรือ 24 ปีที่แล้วสมัยยังเป็น ดิวิชัน 1 เดิม ภายใต้การคุมทัพของ เคนนี ดัลกลิช ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะเป็นสมัยที่ 19 ตามหลัง แมนฯยูไนเต็ด แค่หนเดียว
จากนี้ ลิเวอร์พูล เหลืออีก 9 นัด เริ่มจากไปเยือน คาร์ดิฟฟ์ ซิตี รองบ๊วยวันเสาร์ที่ 22 มีนาคมนี้ โดยแมตช์หนักหนาสาหัสจริงๆ น่าจะอยู่ที่พบ แมนฯซิตี วันที่ 13 เมษายน และ เชลซี วันที่ 27 เมษายน แต่ “หงส์แดง” จะได้เล่นใน แอนฟิลด์ ทั้ง 2 นัด ซึ่งปีนี้มีสถิติยอดเยี่ยมชนะ 12 เสมอ 1 และแพ้ 1 นัด จึงน่าจะถือเป็นการพิพากษาแชมป์กันอย่างแท้จริง ซึ่ง เปเยกรินี ก็คงจะต้องเปิดคัมภีร์งัดกลยุทธ์มาสู้แบบเต็มสูบเพื่อถ้วยลีกใบนี้ เนื่องจากจบฤดูกาลด้วยโทรฟี แคปิตอล วัน คัพ รายการเดียวคงจะถูกตะเพิดตกเก้าอี้อย่างแน่นอน
ฟาก ลิเวอร์พูล ก่อนหน้านี้ที่ใกล้เคียงกับการคว้าแชมป์ลีกมากที่สุดคือฤดูกาล 2008-09 ภายใต้การคุมทัพของ ราฟาเอล เบนิเตซ โดยจบอันดับ 2 ตาม แมนฯยู 4 แต้ม ถือว่าโชคร้ายเนื่องจากสะดุดเสมอเยอะ ถ้าจำกันได้บุกถล่ม “ผีแดง” 4-1 รวมถึง 5 นัดสุดท้ายชนะรวด แต่จุดเปลี่ยนก็น่าจะอยู่ที่การเสมอ อาร์เซนอล 4-4 ที่ แอนฟิลด์
จากนี้เหลือ 27 แต้มให้ ลิเวอร์พูล กอบโกย ซึ่งถ้าได้ทั้งหมดก็จะเป็น 89 แต้มน่าจะเพียงพอกับตำแหน่งแชมป์ เพราะ 2 ปีหลัง แมนฯยู ทำได้ 89 แต้ม แต่ฤดูกาล 2011-12 แมนฯซิตี เข้าป้ายด้วยประตูได้-เสียที่ดีกว่า เมื่อมองดูแล้วปีนี้ “หงส์แดง” มีปัจจัยที่จะส่งให้ก้าวไปสู่ตำแหน่งสูงสุดครบถ้วน เช่น ดาวซัลโว ซัวเรซ กดไปแล้ว 25 ประตู ตามด้วย ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ คู่หู 18 ประตู ทำให้ยิงเยอะที่สุดในลีก 76 ลูก แถมนักเตะแกนหลักส่วนใหญ่ไม่ค่อยบาดเจ็บ แต่จากนี้ก็จะต้องรับมือกับความกดดันให้ได้รวมถึงสงครามจิตวิทยาจากกุนซือคู่แข่งที่จะถาโถมมา
ขอย้อนสถิติสักเล็กน้อย โดยฤดูกาลนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านยำ อาร์เซนอล 5-1 ซึ่งปี 1964 ยุค บิลล์ แชงค์ลีย์ ก็ชนะ “ปืนโต” ด้วยสกอร์ถล่มถลาย 5-0 ได้ประตูจาก 2 ประตู ปีเตอร์ ธอมป์สัน, เอียน เซนต์ จอห์น, อัล์ฟ แอร์โรว์สมิธ และ โรเจอร์ ฮันท์ จนสุดท้ายได้แชมป์ไปครองในตอนนั้น ซึ่งแน่นอนว่าสาวก “เดอะ ค็อป” ย่อมฝันหวานให้วันเก่าๆ กลับมาเยือนอีกครั้ง
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *