เอเยนซี - ถือเป็นฤดูกาลที่เกินเป้าแล้ว สำหรับ ลิเวอร์พูล เมื่อมองจากอันดับ 2 บนตาราง พรีเมียร์ ลีก ณ เวลานี้ที่ตาม เชลซี 7 แต้ม แถมมีเกมตกค้างในมืออีก 1 นัด ซึ่งหมายถึงการได้ลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษครั้งแรกรอบ 24 ปีจากที่ตอนแรกวางไว้คือแค่ “ท็อปโฟร์” กลับไปเล่น ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก
แต่ ลิเวอร์พูล ยังเหลือโปรแกรมต้องเปิดบ้านพบ แมนเชสเตอร์ ซิตี และ เชลซี ทว่าก่อนหน้านั้นต้องฝ่าด่าน “แดงเดือด” ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคมนี้ เหนืออื่นใดก็ตามหลายฝ่ายเริ่มเทใจให้ “หงส์แดง” คว้าแชมป์ลีกให้ได้ในฤดูกาลนี้ รวมไปถึงสื่อดังอย่าง “เทเลกราฟ” ที่ยกเหตุผลมาสนับสนุนดังนี้
1.ลิเวอร์พูล ผลิตผู้เล่นอังกฤษฝีเท้าดีที่มีลุ้นไปฟุตบอลโลก 2014 เช่นปีกอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง นอกจากนี้ยังมีคนที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ขุนฟอร์มขึ้นมา ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ (กองหน้า) และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (กองกลาง) ยังมีแบ็กอย่าง จอน ฟลานาแกน ดังนั้นแชมป์ลีกที่ถ้าได้มานั้น ไม่ใช่แค่ของ “หงส์แดง” เท่านั้น แต่อาจหมายถึงประโยชน์ที่จะส่งผลต่อยอดไปถึงวงการลูกหนังเมืองผู้ดีเลยก็ว่าได้
2.สตีเวน เจอร์ราร์ด มิดฟิลด์ลิเวอร์พูล คือนักเตะคุณภาพที่ควรได้สัมผัสแชมป์ลีกสูงสุดสักครั้งในชีวิตก่อนที่จะแขวนสตั๊ดไป หลายครั้งที่เกือบทำสำเร็จ แต่เพราะไม่มีปัจจัยสนับสนุนที่ดีพอ ซึ่งนักเตะระดับนี้สามารถย้ายไปเล่นให้ยอดทีมไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ทว่าไม่ทำ ถ้าใครได้อ่านอัตชีวประวัติจะทราบดีกว่ากัปตันรายนี้มีความรัก “หงส์แดง” ลึกซึ้งขนาดไหน
3.ลิเวอร์พูล คือหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดของอังกฤษและร่ำรวยประวัติศาสตร์ รวมถึงแผ่ขยายชื่อเสียงไปไกลทั่วยุโรป ดังนั้นควรที่จะได้กลับไปยังเวที ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก อีกครั้งเพื่อสร้างสีสันให้เร้าใจยิ่งขึ้น แน่นอนว่าระดับของ “หงส์แดง” สามารถสร้างความลำบากใจให้กับ บาร์เซโลนา, รีล มาดริด หรือ บาเยิร์น มิวนิก ได้สบาย
4.ถ้า ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ก็จะเป็นการกระตุ้นสโมสรบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง เอฟเวอร์ตัน ให้ฮึดมากขึ้นเพื่อประสบความสำเร็จบ้าง โดยเฉพาะทศวรรษ 80 ที่ขับเคี่ยวผลัดกันเป็นแชมป์และรองแชมป์ลีกสูงสุดถึง 3 ปีติดต่อกัน แน่นอนว่าแฟนบอลรุ่นเก๋าอยากจะเห็นบรรยากาศแบบนั้นกลับมาใจจะขาด ยิ่งเป็นบนเวทียุโรปด้วยยิ่งดี
5.บอร์ดบริหารของ ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่าแม้ไม่ได้โม่แข้ง ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขายผู้เล่นดีที่สุดออกไป กรณีของ หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงอุรุกวัยนั้น ก่อเรื่องสารพัดแต่ก็ยังหนุนหลังจนปีนี้ระเบิดฟอร์มซัดไปแล้ว 24 ประตู ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนักเตะก็ต่อสัญญาใหม่ออกไปแล้ว
6.แอนฟิลด์ ของ ลิเวอร์พูล ยังขลังและเป็นที่คลั่งไคล้ของสาวก “เดอะ ค็อป” เสมอ ถ้าเทียบกับทีมอื่นที่ผลงานดำดิ่งขนาดนี้คงจะเงียบสงัดไปแล้ว ยิ่งถ้าปีนี้ได้แชมป์ พรีเมียร์ ลีก ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะยิ่งน่าเขย่าขวัญขนาดไหนสำหรับผู้มาเยือน เรียกได้ว่า โอลด์ แทรฟฟอร์ด ที่มีความจุมากกว่าอาจจะดูเล็กไปถนัดตาเลยก็ว่าได้
7.ตอนนี้สไตล์ฟุตบอลของ ลิเวอร์พูล กลับมาสร้างความบันเทิงให้กับแฟนๆ อีกครั้ง ไม่ใช่แค่ ซัวเรซ ทุกคนเล่นฟุตบอลได้อย่างตื่นตาตื่นใจ ลูกทีมของ ร็อดเจอร์ส มีการผ่านบอลที่สวยงาม เคลื่อนที่ได้ดีและจบสกอร์คมกริบ จนยิงเยอะที่สุดในลีกไปแล้ว 73 ประตู แต่แน่นอนว่าเกมรับยังมีปัญหา ทว่าเมื่อทุกนัดยิงได้มากกว่าคู่แข่งจะถูกวิจารณ์บ้างเล็กน้อยจะเป็นอะไรไป
8.มีกุนซือหลายคนที่ได้รับการยกย่องเกี่ยวกับแท็กติก แต่ไม่มีใครสามารถหยุด เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เพราะอดีตนายใหญ่ สวอนซี ซิตี คิดค้นรูปแบบที่ทำให้ผู้เล่นสนุกกับการเล่น ทั้งที่เป็นชาวไอร์แลนด์เหนือต้องมาซึบซับวัฒนธรรมฟุตบอลของอังกฤษ โดยย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อนยังไปนั่งอบรมเป็นโค้ชที่อะคาเดมีของ เรดดิง พร้อมกับผู้ช่วยคนดูแลสนามฝึกซ้อมอยู่เลย
9.ระยะเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่ ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นอีกอย่างก็คือ “สิ่งสำคัญในชีวิตไม่ใช่เรื่องผิดพลาดที่ทำ แต่จะตอบสนองสิ่งที่ผิดพลาดอย่างไรมากกว่า” เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือ “หงส์แดง” เคยล้มเหลวกับ เรดดิง หลังชนะ 5 จาก 21 เกมเลยโดนไล่ออก ทว่าตอนนี้กลับผลักดันตนเองจนขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมที่น่าจับตามอง
10.ลิเวอร์พูล คือทีมเดียวที่มีเอี่ยวลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ ลีก แต่ยังไม่เคยได้สัมผัสนับตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นมา เพราะ เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี ต่างก็ได้มหาเศรษฐีเข้ามาประเคนเม็ดเงินอุ้มชูจนประสบความสำเร็จ ดังนั้นถ้าปีนี้ “หงส์แดง” ได้ครองถ้วยลีกสูงสุดครั้งแรกรอบ 24 ปี จะถือเป็นการพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากเม็ดเงิน
* * *คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “MGR SPORT” รับข่าวสารแวดวงกีฬาชนิดเกาะติดขอบสนามคลิกที่นี่เลย!!* * *