คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน ราชวังสัน
ยุคนี้คนไทยเป็นอะไรก็ไม่รู้ งานใดที่เป็นงานอาสา ซึ่งตามปกติจะแข่งกันที่ผลงานความสามารถ ใครดีใครเก่งทำงานสำเร็จเป็นผลดีก็น่าจะได้สิทธิ์ดำรงตำแหน่งผู้นำ หากใครล้มเหลวก็ย่อมถอยฉาก ยอมปล่อยให้ผู้อื่นได้แสดงฝีมือบ้างอย่างมีสปีริท แต่ในปัจจุบันกลับมุ่งตักตวงผลประโยชน์เข้าฝ่ายตนโดยไม่แยแสใครทั้งสิ้น เอาแต่แย่งชิงเพื่อยึดครองกอดตำแหน่งและผลประโยชน์ให้อยู่กับตนเองและพรรคพวกอย่างเหนียวแน่นและนานที่สุด แม้ว่าผลงานที่ตนได้โอกาสแสดงฝีมือแล้วนั้น มันเห่ยแสนเห่ยเพียงใดก็ไม่ยี่หระต่อความรู้สึกของประชาชนเจ้าของประเทศ
ยุคนี้มันไม่ใช่ยุคของการแย่งชิงประชาชนอีกแล้ว เพราะไม่ว่าประชาชนมากหรือน้อยจะออกมาส่งเสียงก่นด่าเพียงใด โดยมีสื่อมวลชนหลายแขนงโดยเฉพาะสื่อออนลายน์ซึ่งนำเสนอได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดต่างก็นำเสนอให้เห็นความเสื่อม ตกต่ำ บ้างก็มีโกง มุบมิบ หมกเม็ด แต่ตนก็ทำตัวไม่มีหูไม่มีตา ปล่อยให้พวกเขาแหกปากกันไป เดี๋ยวก็เงียบเสียงไปเอง ในขณะเดียวกันกลับเกณฑ์คน จัดกลุ่มหน้าม้า จ้างคนมาชูป้ายเชลียร์ เพื่อให้เห็นว่าแฟนคลับของตนก็มีไม่เบา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คนมากคนน้อยก็ไม่สำคัญ เดี๋ยวนี้ ยื้อเท่านั้นที่ครองอำนาจ
ยุคนี้มันเป็นยุคของการอวดอ้างแสดงให้เห็นว่า ไอ้ที่พวกตนทรงสิทธิ์และใช้อำนาจในประเด็นต่างๆ นั้น มันเป็นไปตามกฎ กติกา เมื่อได้กลับขึ้นสู่อำนาจ ก็ย่อมมีศักดิ์และสิทธิ์อย่างถูกต้องเต็มที่ ไม่มีใครจะบังอาจมาท้าทายให้เสียหมาได้ แต่ไอ้กฎ กติกาที่ว่านี้ ตนเองและพรรคพวกแอบย่องไปเขียนหมกเม็ด และพยายามผลักดันให้มีการรับรองเป็นกฎที่ใช้บังคับอย่างถูกต้อง อันนี้เผอิญมีคนมองเห็นความไม่ชอบมาพากล กฎที่ว่านี้ก็เลยไม่ผ่านการรับรอง
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งได้ทราบข่าวว่า ไทยแลนด์ โอเพิ่น (Thailand Open) การแข่งขันเทนนิสของ สมาคมเทนนิสอาชีพ (Association of Tennis Professionals - ATP) ระดับ 250 คะแนน (ATP World Tour 250 series) ที่ประเทศไทยเคยได้รับสิทธิ์จัดการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2003 นั้น นับตั้งแต่ปี 2014 ก็จะไม่มีอีกแล้ว โดยรายการดังกล่าวจะถูกโยกไปจัดที่ เสินเจิ้น ประเทศจีน แทน เป็นอันว่า บัดนี้ จีน ได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเทนนิสทั้งระดับ 250 500 และ มาสเตอร์ส 1,000 อย่างครบถ้วยเลย
การที่จะได้รับสิทธิ์จัดการแข่งขันกีฬาอาชีพรายการต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นกีฬาชนิดใด เขาจะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาซึ่งอาจจะแบ่งเป็นเรื่องต่างๆ คล้ายๆ กัน อย่างแรกก็คือ ภาครัฐให้ความสำคัญ ให้การสนับสนุน อันนี้คงไม่ใช่ปัญหาเท่าใด เพราะผู้จัดก็แวะเวียนมาของบจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอย่างน้อยก็ปีละ 20 ล้านบาท เรื่องสนามแข่งขันก็ต้องมีระดับมาตรฐาน อันนี้บันดาลได้ไม่ยาก เรื่องการคมนาคมนั้นน่าจะหายห่วง เพราะเราจัดการแข่งขันในเมืองหลวง มีเครื่องบินจากทั่วโลกมาลง มีถนนหนทางเอื้อต่อการจราจร น้ำไฟ โค้ก เป๊ปซี่ ไปถึงแน่นอน เรื่องโรงแรมที่พักระดับหรูรองรับก็เยอะเหลือเกิน
แต่สิ่งที่ชาติผู้จัดการแข่งขันควรต้องมีก็คือ นักกีฬาที่มีฝีมืออยู่ในระดับสูง ซึ่งถือเป็นตัวละครเอกของชาตินั้นๆ เลยทีเดียว เป็นตัวเรียกแขก เรียกผู้ชมด้วย ในกรณีนี้เราเคยมี ภราดร ศรีชาพันธุ์ นักเทนนิสที่เก่งที่สุดในประเทศไทย เคยก้าวขึ้นสู่อันดับดีที่สุดในการเล่นอาชีพคืออันดับ 9 แต่หลังจากนั้นเราไม่มีใครมีฝีมือเก่งเท่านี้อีกแล้ว
นักแสดงแม่เหล็กเรียกคนดูซึ่งในภาษาของภาพยนตร์เรียกว่าอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆ หรือ เอ ลิสท์ (A list) ลองได้แสดงหนังเรื่องใด ไม่ว่าดีหรือไม่ดี รับรองคนดูตรึม อย่างนี้มันก็ต้องขนเอามาเรียกแขก ซึ่งในวงการเทนนิสนั้น เขาต้องจ่ายเงินให้แก่นักเทนนิสชื่อดังยอมมาปรากฏตัวที่เรียกว่า Appearance fee เพื่อเรียกแขก
ไทยแลนด์ โอเพิ่น เข้าสู่ยุคตกต่ำ บางปีเงินไม่ถึง นักเทนนิสชื่อดังเปลี่ยนใจไม่มาร่วมรายการ นักเทนนิสเก่งๆ ของเราก็ไม่มีให้ตามเชียร์อย่างมีลุ้นแล้ว อันนี้จะไปหาผู้ชมจำนวนมากๆ มาให้ความสนใจซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นเกณฑ์ให้ชาติผู้จัดต้องยึดถือด้วย จะให้แฟนๆ แห่กันมาแน่นสนามได้อย่างไร มันถึงยุคตกต่ำจริงๆ ผู้บริหารควรแสดงความรับผิดชอบครับ
ยุคนี้คนไทยเป็นอะไรก็ไม่รู้ งานใดที่เป็นงานอาสา ซึ่งตามปกติจะแข่งกันที่ผลงานความสามารถ ใครดีใครเก่งทำงานสำเร็จเป็นผลดีก็น่าจะได้สิทธิ์ดำรงตำแหน่งผู้นำ หากใครล้มเหลวก็ย่อมถอยฉาก ยอมปล่อยให้ผู้อื่นได้แสดงฝีมือบ้างอย่างมีสปีริท แต่ในปัจจุบันกลับมุ่งตักตวงผลประโยชน์เข้าฝ่ายตนโดยไม่แยแสใครทั้งสิ้น เอาแต่แย่งชิงเพื่อยึดครองกอดตำแหน่งและผลประโยชน์ให้อยู่กับตนเองและพรรคพวกอย่างเหนียวแน่นและนานที่สุด แม้ว่าผลงานที่ตนได้โอกาสแสดงฝีมือแล้วนั้น มันเห่ยแสนเห่ยเพียงใดก็ไม่ยี่หระต่อความรู้สึกของประชาชนเจ้าของประเทศ
ยุคนี้มันไม่ใช่ยุคของการแย่งชิงประชาชนอีกแล้ว เพราะไม่ว่าประชาชนมากหรือน้อยจะออกมาส่งเสียงก่นด่าเพียงใด โดยมีสื่อมวลชนหลายแขนงโดยเฉพาะสื่อออนลายน์ซึ่งนำเสนอได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดต่างก็นำเสนอให้เห็นความเสื่อม ตกต่ำ บ้างก็มีโกง มุบมิบ หมกเม็ด แต่ตนก็ทำตัวไม่มีหูไม่มีตา ปล่อยให้พวกเขาแหกปากกันไป เดี๋ยวก็เงียบเสียงไปเอง ในขณะเดียวกันกลับเกณฑ์คน จัดกลุ่มหน้าม้า จ้างคนมาชูป้ายเชลียร์ เพื่อให้เห็นว่าแฟนคลับของตนก็มีไม่เบา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คนมากคนน้อยก็ไม่สำคัญ เดี๋ยวนี้ ยื้อเท่านั้นที่ครองอำนาจ
ยุคนี้มันเป็นยุคของการอวดอ้างแสดงให้เห็นว่า ไอ้ที่พวกตนทรงสิทธิ์และใช้อำนาจในประเด็นต่างๆ นั้น มันเป็นไปตามกฎ กติกา เมื่อได้กลับขึ้นสู่อำนาจ ก็ย่อมมีศักดิ์และสิทธิ์อย่างถูกต้องเต็มที่ ไม่มีใครจะบังอาจมาท้าทายให้เสียหมาได้ แต่ไอ้กฎ กติกาที่ว่านี้ ตนเองและพรรคพวกแอบย่องไปเขียนหมกเม็ด และพยายามผลักดันให้มีการรับรองเป็นกฎที่ใช้บังคับอย่างถูกต้อง อันนี้เผอิญมีคนมองเห็นความไม่ชอบมาพากล กฎที่ว่านี้ก็เลยไม่ผ่านการรับรอง
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งได้ทราบข่าวว่า ไทยแลนด์ โอเพิ่น (Thailand Open) การแข่งขันเทนนิสของ สมาคมเทนนิสอาชีพ (Association of Tennis Professionals - ATP) ระดับ 250 คะแนน (ATP World Tour 250 series) ที่ประเทศไทยเคยได้รับสิทธิ์จัดการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 2003 นั้น นับตั้งแต่ปี 2014 ก็จะไม่มีอีกแล้ว โดยรายการดังกล่าวจะถูกโยกไปจัดที่ เสินเจิ้น ประเทศจีน แทน เป็นอันว่า บัดนี้ จีน ได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเทนนิสทั้งระดับ 250 500 และ มาสเตอร์ส 1,000 อย่างครบถ้วยเลย
การที่จะได้รับสิทธิ์จัดการแข่งขันกีฬาอาชีพรายการต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นกีฬาชนิดใด เขาจะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาซึ่งอาจจะแบ่งเป็นเรื่องต่างๆ คล้ายๆ กัน อย่างแรกก็คือ ภาครัฐให้ความสำคัญ ให้การสนับสนุน อันนี้คงไม่ใช่ปัญหาเท่าใด เพราะผู้จัดก็แวะเวียนมาของบจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอย่างน้อยก็ปีละ 20 ล้านบาท เรื่องสนามแข่งขันก็ต้องมีระดับมาตรฐาน อันนี้บันดาลได้ไม่ยาก เรื่องการคมนาคมนั้นน่าจะหายห่วง เพราะเราจัดการแข่งขันในเมืองหลวง มีเครื่องบินจากทั่วโลกมาลง มีถนนหนทางเอื้อต่อการจราจร น้ำไฟ โค้ก เป๊ปซี่ ไปถึงแน่นอน เรื่องโรงแรมที่พักระดับหรูรองรับก็เยอะเหลือเกิน
แต่สิ่งที่ชาติผู้จัดการแข่งขันควรต้องมีก็คือ นักกีฬาที่มีฝีมืออยู่ในระดับสูง ซึ่งถือเป็นตัวละครเอกของชาตินั้นๆ เลยทีเดียว เป็นตัวเรียกแขก เรียกผู้ชมด้วย ในกรณีนี้เราเคยมี ภราดร ศรีชาพันธุ์ นักเทนนิสที่เก่งที่สุดในประเทศไทย เคยก้าวขึ้นสู่อันดับดีที่สุดในการเล่นอาชีพคืออันดับ 9 แต่หลังจากนั้นเราไม่มีใครมีฝีมือเก่งเท่านี้อีกแล้ว
นักแสดงแม่เหล็กเรียกคนดูซึ่งในภาษาของภาพยนตร์เรียกว่าอยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับต้นๆ หรือ เอ ลิสท์ (A list) ลองได้แสดงหนังเรื่องใด ไม่ว่าดีหรือไม่ดี รับรองคนดูตรึม อย่างนี้มันก็ต้องขนเอามาเรียกแขก ซึ่งในวงการเทนนิสนั้น เขาต้องจ่ายเงินให้แก่นักเทนนิสชื่อดังยอมมาปรากฏตัวที่เรียกว่า Appearance fee เพื่อเรียกแขก
ไทยแลนด์ โอเพิ่น เข้าสู่ยุคตกต่ำ บางปีเงินไม่ถึง นักเทนนิสชื่อดังเปลี่ยนใจไม่มาร่วมรายการ นักเทนนิสเก่งๆ ของเราก็ไม่มีให้ตามเชียร์อย่างมีลุ้นแล้ว อันนี้จะไปหาผู้ชมจำนวนมากๆ มาให้ความสนใจซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นเกณฑ์ให้ชาติผู้จัดต้องยึดถือด้วย จะให้แฟนๆ แห่กันมาแน่นสนามได้อย่างไร มันถึงยุคตกต่ำจริงๆ ผู้บริหารควรแสดงความรับผิดชอบครับ