คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
ในที่สุดทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ก็อดไปโชว์แข้งในศึกเอเชียน คัพ 2015 รอบสุดท้าย ที่ประเทศออสเตรเลีย เป็นที่เรียบร้อย แม้จะเหลือเกมให้เล่นอีก 1 นัดก็ตาม หลังจากผลงานรอบคัดเลือกที่ผ่านมา แพ้ 5 นัดรวด โดนถลุงไป 16 ประตู ยิงได้เพียง 5 ลูก จมบ๊วยกลุ่มบี และจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อผลงานไม่เอาอ่าว เป้าแรกที่ทุกสายตาจับจ้องไปคงหนีไม่พ้นตำแหน่งกุนซือผู้คุมบังเหียน หรือนั่นก็คือ “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์
ก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่าการที่ “โค้ชง้วน” เข้ามารับเผือกร้อนต่อจาก วินฟรีด เชเฟอร์ ที่สะบัดก้นไปรับจ๊อบสโมสรโดยทิ้งผลงานแพ้ 2 เกมติดนั้นเป็นเรื่องยากที่จะพลิกสถานการณ์สร้างปาฏิหาริย์เข้ารอบ แต่แฟนบอลไทยก็ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว และหวังเพียงแค่จะเห็นทีมชาติไทยในรูปโฉมใหม่ที่เรียกศรัทธาคืนมาได้ แต่กุนซือวัย 44 ปี ก็โดนกระแสวิจารณ์อย่างหนักตั้งแต่เข้ามารับงาน หลังยืนกรานไม่เรียกนักเตะที่ติดทีมชาติชุดซีเกมส์ อาทิ ธีราทร บุญมาทัน, ชนาธิป สรงกระสินธ์, ชนานันท์ ป้อมบุปผา หรือ ชาริล ชัปปุยส์ เข้าติดธงชุดใหญ่ ทำให้รายชื่อผู้เล่นที่ออกมาจึงแหม่งๆ ขัดสายตาแฟนบอล จนถูกกระแหนะกระแหนว่าเป็นช้างศึกพันธุ์ผสมระหว่าง ชัยนาท เอฟซี กับ บางกอกกล๊าส เอฟซี และเมื่อไม่ใช้ผู้เล่นที่ดีที่สุดบวกกับผลงานที่ออกมาจึงโดนเบิ้ลเป็นสองเด้ง
นัดแรกที่บุกไปพ่ายอิหร่านที่กรุงเตหะราน 1-2 นั้นบอลยังพอมีทรงทุกคนช่วยกันเล่น แพ็กเกมแน่น แต่หลังจากนั้นเริ่มออกทะเลโดนอิหร่านยำคาบ้าน 0-3 และบุกไปปราชัยคูเวต 1-3 ในนัดล่าสุด ทำให้ทุกคนเริ่มส่ายหน้าพร้อมปรามาสว่าชั้นไม่ถึง ไร้ฝีมือ นักเตะเล่นกันแบบซังกะตาย เกมรุกไม่มี เกมรับหละหลวม ซึ่งจุดนี้ “โค้ชง้วน” เองก็ได้ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง และขอยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว พร้อมให้เหตุผลว่าที่ตนเข้ามาก็เพื่ออยากจะช่วยชาติในฐานะคนไทยคนหนึ่ง โดยไม่หวังแม้แต่สัญญาจ้างหรือมีข้อเรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของอดีตแข้งทีมชาติไทยนั้นใครได้ฟังก็รู้สึกได้ถึงภาระที่หนักอึ้งที่เจ้าตัวแบกรับอยู่โดยไร้การสนับสนุน ตัดพ้อว่างานนี้มีข้อจำกัดหลายประการไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาทำ ทั้งเงื่อนเวลาการเตรียมทีม เวลาที่ไปคาบเกี่ยวกับชุดซีเกมส์ รวมถึงตัวผู้เล่นที่มีจำกัด จึงจำต้องแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ชุด และแน่นอกถึงขนาดเปรยออกมาว่าจะขอยุติบทบาทแต่เพียงเท่านี้
ซึ่งคำพูดต่างๆ ที่ออกมานั้นตรงกับภาพที่ผมได้เห็นตำตาเช่นกัน ภาพที่กุนซือทีมชาติต้องไปนอบน้อมต่อผู้บริหารสโมสรค่ายใหญ่เพื่อขอความร่วมมือช่วยปล่อยนักเตะในสังกัดให้มาร่วมรับใช้ชาติ ต้องเดินไปบอกนักเตะตัวต่อตัวหลังจบเกมกับสโมสรว่าช่วยมาเล่นให้หน่อย จะ 1-2 นัดก็ตามแต่คน ผมจึงได้แต่รู้สึกหดหู่ว่าทำไมเฮดโค้ชทีมชาติต้องมาทำแบบนี้ ทั้งที่เป็นตำแหน่งที่เรียกได้ว่า “ทรงเกียรติ” และควรได้รับการยกย่องจากคนในวงการลูกหนัง ไม่ใช่ไร้บารมีอย่างนี้
ดังนั้นต้นตอของปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นคงไม่ผิดนักหากจะพูดว่าการบริหารจัดการของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยมีส่วนเอี่ยวอีกครั้ง เพราะหากนับสั้นๆ ตั้งแต่แยกทางกับ “วินนี” ทางสมาคมฯก็ไม่เคยออกมาเปิดเผยถึงเป้าหมายและแผนการในอนาคตของทีมชาติไทย ชุดใหญ่ เลยว่าจะเดินไปในทิศทางใด ปล่อยให้ทำทีมกันไปตามมีตามเกิดเหมือนเรือไร้หางเสือมาโดยตลอด กลายเป็นลูกเมียน้อย ผู้บริหารให้ความสำคัญกับทีมชุดซีเกมส์มากกว่า คอยประคบประหงมอย่างดีประเคนหาทีมมาลับแข้งไม่ขาดสาย และหากย้อนไปไกลกว่านั้นก็คงต้องถึงการจัดโปรแกรมแข่งขันที่เห็นทนโท่ว่าทีมชาติจะต้องมีเกมเยือนในวันที่ 19 พฤศจิกายน แต่ก็ยังกล้าจัดนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยโตโยต้า ลีก คัพ ไว้วันที่ 23 พฤศจิกายน ซึ่งถามว่าถ้านัดที่ผ่านมานี้มีความหมายลุ้นต่อการเข้ารอบจะเกิดอะไรขึ้น หรือที่เป็นแบบนี้เพราะทางสมาคมฟุตบอลฯไม่เคยหวังถึงจุดนี้เลย
ในเมื่อเมื่อกล้าพูดว่าแชมป์ซีเกมส์ 8 สมัยเป็นผลงานของตน ความตกต่ำของทีมชาติปัจจุบันนี้ก็ควรจะยืดอกรับด้วยเช่นกัน ไม่ใช้อ้างว่าเป็นเพียงผู้บริหารไม่มีส่วนเกี่ยวของในการจัดทีมวางแผน เพราะหากการบริการยังห่วยแบบนี้ เคยทดลองใช้มาแล้วท้งโค้ชไทยและต่างชาติ ต่อให้ “โค้ชเทวดา” รายไหนเข้ามาทำ ก็คงกลายเป็นแพะรับบาปอยู่ดี
ในที่สุดทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ก็อดไปโชว์แข้งในศึกเอเชียน คัพ 2015 รอบสุดท้าย ที่ประเทศออสเตรเลีย เป็นที่เรียบร้อย แม้จะเหลือเกมให้เล่นอีก 1 นัดก็ตาม หลังจากผลงานรอบคัดเลือกที่ผ่านมา แพ้ 5 นัดรวด โดนถลุงไป 16 ประตู ยิงได้เพียง 5 ลูก จมบ๊วยกลุ่มบี และจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อผลงานไม่เอาอ่าว เป้าแรกที่ทุกสายตาจับจ้องไปคงหนีไม่พ้นตำแหน่งกุนซือผู้คุมบังเหียน หรือนั่นก็คือ “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงศ์
ก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่าการที่ “โค้ชง้วน” เข้ามารับเผือกร้อนต่อจาก วินฟรีด เชเฟอร์ ที่สะบัดก้นไปรับจ๊อบสโมสรโดยทิ้งผลงานแพ้ 2 เกมติดนั้นเป็นเรื่องยากที่จะพลิกสถานการณ์สร้างปาฏิหาริย์เข้ารอบ แต่แฟนบอลไทยก็ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว และหวังเพียงแค่จะเห็นทีมชาติไทยในรูปโฉมใหม่ที่เรียกศรัทธาคืนมาได้ แต่กุนซือวัย 44 ปี ก็โดนกระแสวิจารณ์อย่างหนักตั้งแต่เข้ามารับงาน หลังยืนกรานไม่เรียกนักเตะที่ติดทีมชาติชุดซีเกมส์ อาทิ ธีราทร บุญมาทัน, ชนาธิป สรงกระสินธ์, ชนานันท์ ป้อมบุปผา หรือ ชาริล ชัปปุยส์ เข้าติดธงชุดใหญ่ ทำให้รายชื่อผู้เล่นที่ออกมาจึงแหม่งๆ ขัดสายตาแฟนบอล จนถูกกระแหนะกระแหนว่าเป็นช้างศึกพันธุ์ผสมระหว่าง ชัยนาท เอฟซี กับ บางกอกกล๊าส เอฟซี และเมื่อไม่ใช้ผู้เล่นที่ดีที่สุดบวกกับผลงานที่ออกมาจึงโดนเบิ้ลเป็นสองเด้ง
นัดแรกที่บุกไปพ่ายอิหร่านที่กรุงเตหะราน 1-2 นั้นบอลยังพอมีทรงทุกคนช่วยกันเล่น แพ็กเกมแน่น แต่หลังจากนั้นเริ่มออกทะเลโดนอิหร่านยำคาบ้าน 0-3 และบุกไปปราชัยคูเวต 1-3 ในนัดล่าสุด ทำให้ทุกคนเริ่มส่ายหน้าพร้อมปรามาสว่าชั้นไม่ถึง ไร้ฝีมือ นักเตะเล่นกันแบบซังกะตาย เกมรุกไม่มี เกมรับหละหลวม ซึ่งจุดนี้ “โค้ชง้วน” เองก็ได้ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง และขอยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว พร้อมให้เหตุผลว่าที่ตนเข้ามาก็เพื่ออยากจะช่วยชาติในฐานะคนไทยคนหนึ่ง โดยไม่หวังแม้แต่สัญญาจ้างหรือมีข้อเรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของอดีตแข้งทีมชาติไทยนั้นใครได้ฟังก็รู้สึกได้ถึงภาระที่หนักอึ้งที่เจ้าตัวแบกรับอยู่โดยไร้การสนับสนุน ตัดพ้อว่างานนี้มีข้อจำกัดหลายประการไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาทำ ทั้งเงื่อนเวลาการเตรียมทีม เวลาที่ไปคาบเกี่ยวกับชุดซีเกมส์ รวมถึงตัวผู้เล่นที่มีจำกัด จึงจำต้องแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ชุด และแน่นอกถึงขนาดเปรยออกมาว่าจะขอยุติบทบาทแต่เพียงเท่านี้
ซึ่งคำพูดต่างๆ ที่ออกมานั้นตรงกับภาพที่ผมได้เห็นตำตาเช่นกัน ภาพที่กุนซือทีมชาติต้องไปนอบน้อมต่อผู้บริหารสโมสรค่ายใหญ่เพื่อขอความร่วมมือช่วยปล่อยนักเตะในสังกัดให้มาร่วมรับใช้ชาติ ต้องเดินไปบอกนักเตะตัวต่อตัวหลังจบเกมกับสโมสรว่าช่วยมาเล่นให้หน่อย จะ 1-2 นัดก็ตามแต่คน ผมจึงได้แต่รู้สึกหดหู่ว่าทำไมเฮดโค้ชทีมชาติต้องมาทำแบบนี้ ทั้งที่เป็นตำแหน่งที่เรียกได้ว่า “ทรงเกียรติ” และควรได้รับการยกย่องจากคนในวงการลูกหนัง ไม่ใช่ไร้บารมีอย่างนี้
ดังนั้นต้นตอของปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นคงไม่ผิดนักหากจะพูดว่าการบริหารจัดการของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยมีส่วนเอี่ยวอีกครั้ง เพราะหากนับสั้นๆ ตั้งแต่แยกทางกับ “วินนี” ทางสมาคมฯก็ไม่เคยออกมาเปิดเผยถึงเป้าหมายและแผนการในอนาคตของทีมชาติไทย ชุดใหญ่ เลยว่าจะเดินไปในทิศทางใด ปล่อยให้ทำทีมกันไปตามมีตามเกิดเหมือนเรือไร้หางเสือมาโดยตลอด กลายเป็นลูกเมียน้อย ผู้บริหารให้ความสำคัญกับทีมชุดซีเกมส์มากกว่า คอยประคบประหงมอย่างดีประเคนหาทีมมาลับแข้งไม่ขาดสาย และหากย้อนไปไกลกว่านั้นก็คงต้องถึงการจัดโปรแกรมแข่งขันที่เห็นทนโท่ว่าทีมชาติจะต้องมีเกมเยือนในวันที่ 19 พฤศจิกายน แต่ก็ยังกล้าจัดนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยโตโยต้า ลีก คัพ ไว้วันที่ 23 พฤศจิกายน ซึ่งถามว่าถ้านัดที่ผ่านมานี้มีความหมายลุ้นต่อการเข้ารอบจะเกิดอะไรขึ้น หรือที่เป็นแบบนี้เพราะทางสมาคมฟุตบอลฯไม่เคยหวังถึงจุดนี้เลย
ในเมื่อเมื่อกล้าพูดว่าแชมป์ซีเกมส์ 8 สมัยเป็นผลงานของตน ความตกต่ำของทีมชาติปัจจุบันนี้ก็ควรจะยืดอกรับด้วยเช่นกัน ไม่ใช้อ้างว่าเป็นเพียงผู้บริหารไม่มีส่วนเกี่ยวของในการจัดทีมวางแผน เพราะหากการบริการยังห่วยแบบนี้ เคยทดลองใช้มาแล้วท้งโค้ชไทยและต่างชาติ ต่อให้ “โค้ชเทวดา” รายไหนเข้ามาทำ ก็คงกลายเป็นแพะรับบาปอยู่ดี