“บิ๊กเป้” รณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้อำนวยการสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ยอมรับในความพ่ายแพ้ต่อ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 0-1 ยุติเส้นทางศึกฟุตบอลมูลนิธิไทยคม เอฟเอ คัพ 2013 เพียงแค่รอบรองชนะเลิศ พร้อมชี้ผู้ตัดสินเกาหลีใต้เป่าไม่แม่นกฎจังหวะที่ วิศณุศักดิ์ แก้วเรือง นายด่านของทีมโดนใบแดง ด้าน เนวิน ชิดชอบ โวกวาด 3 แชมป์ชัวร์
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ประตูชัยจาก มานูเอล เรดอนโด การ์เซีย แข้งป้ายแดงชาวสแปนิช เฉือนชนะ “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ต้องเหลือ 10 ตัวท้ายเกม 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับ “บีจี” บางกอกกล๊าส เอฟซี ที่เอาชนะ อินทรีเพื่อนตำรวจ 5-2 ในศึกมูลนิธิไทยคม เอฟเอ คัพ 2013 เมื่อช่วงค่ำวันที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมา
หลังจบเกม รณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้อำนวยการสโมสรกิเลนผยอง กล่าวยอมรับในความพ่ายแพ้ “ครึ่งแรกเราเล่นได้ดีกว่ามาก มีโอกาสมากมายแต่กลับทำไม่ได้เอง จึงเป็นเรื่องธรรมดาของฟุตบอลที่จะต้องแพ้ไป จากนี้ก็ต้องมุ่งไปที่เกมลีก เรายังมีแต้มให้เล่นอยู่ และต้องเน้นไปที่แต้มเหล่านั้นเพื่อที่จะแซงกลับไปเป็นแชมป์ให้ได้”
พร้อมกันนี้ “เสี่ยเป้” ได้กล่าวถึงจังหวะที่ วิศณุศักดิ์ แก้วเรือง นายด่านของทีม ออกไปตัดฟาล์ว เอกชัย สำเร แข้งเซราะกราว จนโดน ลี มิน โฮ ผู้ตัดสินชาวเกาหลีใต้ชูใบแดงไล่ออกจากสนามว่าตนไม่เห็นเหตุการณ์แต่อย่างใด “จังหวะนั้นผมยังเห็นไม่ชัด แต่ที่แน่ๆ คือกรรมการตัดสินผิดพลาด เพราะจังหวะดังกล่าวผู้ตัดสินยังไม่เป่าทันทีแต่ปล่อยให้ผู้เล่นบุรีรัมย์หลุดไปยิงก่อนจึงเป่านกหวีด และเมื่อมีจังหวะต่อเนื่องแล้วก็ไม่ควรที่จะมาให้ฟรีคิกทีหลัง”
ด้าน เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรปราสาทสายฟ้า ย้ำว่าคติประจำทีมยังคงอยู่ในสารบบบอลไทยต่อไป "เป็นการแสดงให้เห็นว่าคำว่า “แพ้ใครก็ได้ แต่ไม่แพ้เมืองทองฯ" ยังคงอยู่ในวงการฟุตบอลไทยต่อไป แม้เกมนี้เราจะมีนักเตะบาดเจ็บหลายคน และที่เหลือก็ล้าจากการลงเล่น 2 นัดต่อสัปดาห์ แต่ฟุตบอลวัดกันที่ 90 นาที ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น จากนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้อง 3 แชมป์สถานเดียว”
โดยนายใหญ่เซราะกราว ยังกล่าวชื่นชม มานูเอล เรดอนโด การ์เซีย ผู้ทำประตูชัยอีกว่าเป็นนักเตะที่ซื้อมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ สำหรับในรอบชิงชนะเลิศ “ปราสาทสายฟ้า” จะพบกับ บางกอกกล๊าส เอฟซี ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2556 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เวลา 18.00 น.