คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
นับถอยหลังอีกไม่ถึง 1 เดือนจากนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาดหรือมีใครพยายามจะยื้อเวลาไว้ เราจะได้เห็นโฉมหน้าของ “นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยคนใหม่” กันเสียที ไม่หน้าเดิมอย่าง “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฯ 3 สมัย ก็ “บิ๊กก๊อง” วิรัช ชาญพานิชย์ ผู้ท้าชิง คนใดคนหนึ่ง
ก่อนถึงเวลานั้นทั้งคู่ได้เผยโฉมหน้าทีมงานที่จะนั่งเป็นสภากรรมการ หรือ “รัฐบอล” คร่าวๆ ออกมาแล้ว โดยฝั่งของ วิรัช หลายฝ่ายคงไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะเป็นหน้าใหม่แทบทั้งสิ้น มีทั้ง ทหาร ตำรวจ นักวิชาการ ฝ่ายการตลาด ครบครัน มีเพียงไม่กี่รายที่เคยคลุกคลีอยู่กับวงการลูกหนังไทย อาทิ พินิจ งามพริ้ง, อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ และ ธนศักดิ์ สุระประเสริฐ ที่จะเป็นกลไกในการทำงาน
แต่ที่ต้องคิ้วขมวดคือฟากของ วรวีร์ มากกว่า ที่หลายคนในสภากรรมการชุดเก่าหลุดโผ เช่น ไบรอัน แอล มาร์การ์ กับ วิมล กาญจนะ แต่กลับมีชื่อของ ศุภศิลป์ ลีลาฤทธิ์ หรือ “เสี่ยเหน่ง” ผู้จัดการทีมบางกอกกล๊าส เอฟซี กับ ธัญญา โพธิ์วิจิตร หรือ “เป็ด เชิญยิ้ม” ที่มีรายชื่อติดแทน
ที่เหลือก็วัดกันที่ความนิยมของแต่ละสโมสรว่าจะพิสมัยใครมากกว่ากัน แต่ต้องบอกว่าหลังจากที่ทั้งคู่ยอมถอยกันคนละก้าวแล้วไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ การเลือกตั้งครั้งนี้เริ่มดูเหมือนเป็นการ “เลือกตั้ง” จริงๆ เสียที ไม่ใช่การ “ลากตั้ง” เหมือนที่หลายฝ่ายเหน็บแนมก่อนหน้า
ส่วนตัวแล้วหลังจากที่ได้สัมผัสกับทั้ง 2 ท่านมาพอสมควร หากมองแบบไร้อคติ ราศีการเป็นผู้นำนั้น “บังยี” ดูจะเหลื่อมกว่าผู้ใหญ่ใจดีอย่าง “บิ๊กก๊อง” อยู่นิดๆ เพราะเป็นเกมกว่า เชี่ยวกว่า ทั้งสมรภูมิในและนอกประเทศ เห็นได้จากที่เคยอหังการท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ทวีปเอเชียมาแล้ว แต่ทั้งนี้การรวมอำนาจไว้ในจุดเดียวก็เหมือนกับดาบ 2 คม บ่อยครั้งที่หลายเรื่องในวงการฟุตบอลไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เพราะต้องรอให้ออกจากปากท่านหัวหน้าอย่างเดียว แม้จะเป็นเรื่องยิบย่อยที่มีผู้รับผิดชอบอยู่แล้วก็ตาม
ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้การบริหารงานตลอด 6 ปี ที่ผ่านมานั้น “สอบตก” ตัววรวีร์เองย้ำมาตลอดว่ามีทีมชาติที่จะต้องดูแลรวมทั้งสิ้น 18 ชุด ไล่ตั้งชุดเด็ก ชุดใหญ่ บอลหญิง ฟุตซอล ฯลฯ แต่บุคลากรที่เป็นคนของสมาคมที่จะมาจัดการแทบจะไม่มี ทุกวันนี้จึงมั่วไปหมด ส่งชุดเฉพาะกิจทำศึกเมอร์เดกา คัพ, ชุด 19 ปี แข่งชิงแชมป์อาเซียน ในขณะที่เยาวชนของแต่ละสโมสรยังหวดชิงชัยกันอยู่ หรือแม้แต่แข้งซีเกมส์กับชุดใหญ่ที่ยังแย่งคิวลับแข้งกันไม่ลงตัว
ในขณะที่ “บิ๊กก๊อง” ในมาดคุณลุงซานตาคลอส (เคยเหมาไอติมรถเข็นแจกนักข่าวระหว่างรอเข้าไปเจรจาเรื่องธรรมนูญใหม่ที่หนองจอก) ดูจะยังไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นหัวเรือใหญ่ที่ตั้งธงเปลี่ยนแปลงตัวนายกสมาคมฯเหมือนที่หลายๆ ฝ่ายเรียกร้องก็ตาม แต่ด้วยบุคลิกเช่นนี้ที่ยอมผ่อนปรน เปลี่ยนแปลงตามความเห็นของผู้ร่วมอุดมการณ์ก็ส่งผลดีในส่วนของทีมงานในอีกมุมหนึ่ง คือการเป็น “ผู้นำ” ไม่ใช่ “หัวหน้า”
และข้อนี้เองที่ “บิ๊กก๊อง” ทำคะแนนทิ้งห่างตั้งแต่ยังไม่ออกลู่วิ่ง เพราะเพื่อนร่วมทีมที่นำมานั้นการันตีผลงานในตัวอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ยังมีอีกสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ก็คือเบื้องหลังแรงสนับสนุนของอดีตผู้จัดการทีมชาติไทยรายนี้นั้นมาจากการร่วมมือกันของหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็น กลุ่มชลบุรี, กลุ่มบุรีรัมย์, กลุ่มขั้วอำนาจเก่าที่แปรพักตร์มา รวมถึงกลุ่มสโมสรในระดับถ้วยพระราชทาน ทีนี้หากถึงคราที่ได้เถลิงอำนาจแล้วจะแบ่งเค้กกันอย่างไรให้ลงรอย
เอาเป็นว่าเรื่องร้ายๆ ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้บรรยากาศกำลังดีก่อนจะถึงวันนั้นหากเป็นไปได้อยากให้ทั้งคู่หาวันว่างๆนัดกัน พร้อมเชิญสโมสรสมาชิกทั้ง 72 ทีมที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง มาเปิดดีเบตแสดงแผนงานและวิสัยทัศน์กันซึ่งๆ หน้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟันไปเลยว่าใครจะเจ๋งกว่ากัน
นับถอยหลังอีกไม่ถึง 1 เดือนจากนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาดหรือมีใครพยายามจะยื้อเวลาไว้ เราจะได้เห็นโฉมหน้าของ “นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยคนใหม่” กันเสียที ไม่หน้าเดิมอย่าง “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฯ 3 สมัย ก็ “บิ๊กก๊อง” วิรัช ชาญพานิชย์ ผู้ท้าชิง คนใดคนหนึ่ง
ก่อนถึงเวลานั้นทั้งคู่ได้เผยโฉมหน้าทีมงานที่จะนั่งเป็นสภากรรมการ หรือ “รัฐบอล” คร่าวๆ ออกมาแล้ว โดยฝั่งของ วิรัช หลายฝ่ายคงไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะเป็นหน้าใหม่แทบทั้งสิ้น มีทั้ง ทหาร ตำรวจ นักวิชาการ ฝ่ายการตลาด ครบครัน มีเพียงไม่กี่รายที่เคยคลุกคลีอยู่กับวงการลูกหนังไทย อาทิ พินิจ งามพริ้ง, อดิศักดิ์ เบ็ญจศิริวรรณ และ ธนศักดิ์ สุระประเสริฐ ที่จะเป็นกลไกในการทำงาน
แต่ที่ต้องคิ้วขมวดคือฟากของ วรวีร์ มากกว่า ที่หลายคนในสภากรรมการชุดเก่าหลุดโผ เช่น ไบรอัน แอล มาร์การ์ กับ วิมล กาญจนะ แต่กลับมีชื่อของ ศุภศิลป์ ลีลาฤทธิ์ หรือ “เสี่ยเหน่ง” ผู้จัดการทีมบางกอกกล๊าส เอฟซี กับ ธัญญา โพธิ์วิจิตร หรือ “เป็ด เชิญยิ้ม” ที่มีรายชื่อติดแทน
ที่เหลือก็วัดกันที่ความนิยมของแต่ละสโมสรว่าจะพิสมัยใครมากกว่ากัน แต่ต้องบอกว่าหลังจากที่ทั้งคู่ยอมถอยกันคนละก้าวแล้วไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ การเลือกตั้งครั้งนี้เริ่มดูเหมือนเป็นการ “เลือกตั้ง” จริงๆ เสียที ไม่ใช่การ “ลากตั้ง” เหมือนที่หลายฝ่ายเหน็บแนมก่อนหน้า
ส่วนตัวแล้วหลังจากที่ได้สัมผัสกับทั้ง 2 ท่านมาพอสมควร หากมองแบบไร้อคติ ราศีการเป็นผู้นำนั้น “บังยี” ดูจะเหลื่อมกว่าผู้ใหญ่ใจดีอย่าง “บิ๊กก๊อง” อยู่นิดๆ เพราะเป็นเกมกว่า เชี่ยวกว่า ทั้งสมรภูมิในและนอกประเทศ เห็นได้จากที่เคยอหังการท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าใหญ่ทวีปเอเชียมาแล้ว แต่ทั้งนี้การรวมอำนาจไว้ในจุดเดียวก็เหมือนกับดาบ 2 คม บ่อยครั้งที่หลายเรื่องในวงการฟุตบอลไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เพราะต้องรอให้ออกจากปากท่านหัวหน้าอย่างเดียว แม้จะเป็นเรื่องยิบย่อยที่มีผู้รับผิดชอบอยู่แล้วก็ตาม
ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้การบริหารงานตลอด 6 ปี ที่ผ่านมานั้น “สอบตก” ตัววรวีร์เองย้ำมาตลอดว่ามีทีมชาติที่จะต้องดูแลรวมทั้งสิ้น 18 ชุด ไล่ตั้งชุดเด็ก ชุดใหญ่ บอลหญิง ฟุตซอล ฯลฯ แต่บุคลากรที่เป็นคนของสมาคมที่จะมาจัดการแทบจะไม่มี ทุกวันนี้จึงมั่วไปหมด ส่งชุดเฉพาะกิจทำศึกเมอร์เดกา คัพ, ชุด 19 ปี แข่งชิงแชมป์อาเซียน ในขณะที่เยาวชนของแต่ละสโมสรยังหวดชิงชัยกันอยู่ หรือแม้แต่แข้งซีเกมส์กับชุดใหญ่ที่ยังแย่งคิวลับแข้งกันไม่ลงตัว
ในขณะที่ “บิ๊กก๊อง” ในมาดคุณลุงซานตาคลอส (เคยเหมาไอติมรถเข็นแจกนักข่าวระหว่างรอเข้าไปเจรจาเรื่องธรรมนูญใหม่ที่หนองจอก) ดูจะยังไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร แม้จะเป็นหัวเรือใหญ่ที่ตั้งธงเปลี่ยนแปลงตัวนายกสมาคมฯเหมือนที่หลายๆ ฝ่ายเรียกร้องก็ตาม แต่ด้วยบุคลิกเช่นนี้ที่ยอมผ่อนปรน เปลี่ยนแปลงตามความเห็นของผู้ร่วมอุดมการณ์ก็ส่งผลดีในส่วนของทีมงานในอีกมุมหนึ่ง คือการเป็น “ผู้นำ” ไม่ใช่ “หัวหน้า”
และข้อนี้เองที่ “บิ๊กก๊อง” ทำคะแนนทิ้งห่างตั้งแต่ยังไม่ออกลู่วิ่ง เพราะเพื่อนร่วมทีมที่นำมานั้นการันตีผลงานในตัวอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ยังมีอีกสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ก็คือเบื้องหลังแรงสนับสนุนของอดีตผู้จัดการทีมชาติไทยรายนี้นั้นมาจากการร่วมมือกันของหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็น กลุ่มชลบุรี, กลุ่มบุรีรัมย์, กลุ่มขั้วอำนาจเก่าที่แปรพักตร์มา รวมถึงกลุ่มสโมสรในระดับถ้วยพระราชทาน ทีนี้หากถึงคราที่ได้เถลิงอำนาจแล้วจะแบ่งเค้กกันอย่างไรให้ลงรอย
เอาเป็นว่าเรื่องร้ายๆ ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้บรรยากาศกำลังดีก่อนจะถึงวันนั้นหากเป็นไปได้อยากให้ทั้งคู่หาวันว่างๆนัดกัน พร้อมเชิญสโมสรสมาชิกทั้ง 72 ทีมที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง มาเปิดดีเบตแสดงแผนงานและวิสัยทัศน์กันซึ่งๆ หน้าแบบตาต่อตาฟันต่อฟันไปเลยว่าใครจะเจ๋งกว่ากัน