คอลัมน์ “TIMEOUT” โดย “ชมณัฐ”
“ทุกวันนี้ไม่มีใครขายจรรยาบรรณตัวเองหรอก เพราะมันหมดไปนานจนไม่มีให้ขายแล้ว ที่ขายอยู่ทุกวันนี้คือวิชาชีพต่างหาก...”
บางถ้อยคำของผู้ตัดสินไทยรายหนึ่งที่ตัดพ้อให้ผมฟังถึงสภาพการณ์ปัจจุบันในวงการที่ตนเองได้คลุกคลีอยู่แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ เนื่องจากหากเกินตัวไปพาลจะเกิดปัญหามาสู่หน้าที่การงานของตนเองเอาง่ายๆ
การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสินไทยเวลานี้เจอกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบเป็นอย่างมาก แรกๆยังพอทำเนาได้ เพราะความเป็นมนุษย์จะให้เป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์คงเป็นไปไม่ได้ แต่หลังๆ พอชักหนักข้อขึ้นหลายฝ่ายก็เริ่มที่จะสงสัยว่าที่ผิดพลาดนั้นมีมีลับลมคมในอะไรหรือเปล่า โดยหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลายคนเริ่มตั้งแง่ก็คือบทลงโทษของผู้ตัดสินที่ทำหน้าที่ผิดพลาดเหล่านั้น
ผมยังจำถึงวันแรกที่มีการตั้งคณะกรรมการฝ่ายป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงการฟุตบอล โดยมี “บิ๊กย้อย” พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นั่งเป็นประธานได้อย่างดี เพราะในวันนั้นยังเปิดให้สื่อมวลชนที่รอติดตามความคืบหน้าของ นายมานพ ปานสาคร หรือ “เปาตาข่ายขาด” ได้ร่วมโหวตชื่อย่อของทีมงานชุดนี้จนได้ชื่อเก๋ๆว่า “คปบ.”
หลายฝ่ายเริ่มตื่นตัวเนื่องจากมีการนำเอาเทคโนโลยีของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาใช้สอบสวนเช่นการสอบปากคำหรือเข้าเครื่องจับเท็จ จนสุดท้าย นายมานพ โดนลงดาบแบน 4 ปี เหมือนเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ลางๆ แต่แล้วคล้อยหลังไม่ถึง 10 เดือน เชิ้ตดำรายดังกล่าวก็สามารถกลับมาทำหน้าที่ต่อได้ตามปกติ เนื่องจากมีการอนุมัติลดโทษให้ แต่ที่น่าขำไปกว่านั้นคือเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำลักษะคล้ายกัน นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ(สมัยนั้น) กลับบอกว่า “คปบ.” นั้นไม่มีแล้ว! ก็เลยได้แต่งงว่าแล้วท่านจะตั้งมาทำ_อะไร
เท่ากับว่าบทลงโทษทุกอย่างของเชิ้ตดำบ้านเรายังอยู่ในดุลยพินิจของ พล.ท.ชินเสณ ทองโกมล เสธ.ทหารที่ได้นั่งแท่นประธานคณะกรรมการแต่งตั้งและประเมินผู้ตัดสินของสมาคมฟุตบอลฯ ซึ่งแม้ว่าหลายครั้งที่ “เสธ.ตุ้ม” ออกมาย้ำว่ามีการพิจารณาบทลงโทษกับเปาที่ทำผิดเสมอ แต่สื่อมวลชนและแฟนบอลกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
เช่นในกรณีที่ “เปาหนอม” ถนอม บริคุต โดนลอบยิง ทั้งที่ฝ่ายสืบสวนออกมาตั้งสันนิษฐานโดยมีเรื่องของการพนันเป็น 1 ในปมเหตุครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นการขัดต่อศีลธรรมกับงานที่ทำอย่างมาก แต่นายใหญ่เปาไทยกลับไม่เคยออกมาบอกว่าจะนำลูก (รัก) น้องรายนี้ไปสอบสวนเค้นความจริง อีกทั้งยังอ้าแขนรับให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกต่างหาก ผมจึงได้แต่กังวลว่าคดีนี้พอสาวไปลึกๆ จะเจอ “ตอชิ้นเป้ง” แล้วสุดท้ายถูกปิดด้วยการยิงผิดตัวไปนี่สิ
และยิ่งเวลานี้ใกล้ถึงวันเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯคนใหม่เข้าทุกขณะ สังเกตได้ว่าช่วงนี้ทีมใดมีปัญหาอะไรสมาคมฟุตบอลฯช่วยเคลียร์ได้ดั่งใจหมด ล่าสุดเพิ่งลงดาบแบนเปายกชุดเป็นปีๆตามที่ สโมสรสิงห์ท่าเรือ ที่มี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เป็นประธานสโมสรกิตติมศักดิ์ เรียกร้อง อีกทั้งหลายทีมยังขอลดโทษใบแดงที่ได้รับอย่างราบรื่น รวมถึงอุทธรณ์ได้แม้กระทั่ง “ใบเหลือง” !!
ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวส่วนใหญ่เหมือนจะเป็นที่ปลายทางเสียมากกว่า และ “บังยี” เองก็น่าจะรู้ถึงต้นตออยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ประกาศออกมาว่าหากตนได้นั่งบัลลังก์ต่ออีกสมัยจะมีการสังคายนาวงการเชิ้ตดำครั้งใหญ่ แต่ก็อดถามกลับไม่ได้ว่าตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ท่านมัวทำอะไรอยู่
“ทุกวันนี้ไม่มีใครขายจรรยาบรรณตัวเองหรอก เพราะมันหมดไปนานจนไม่มีให้ขายแล้ว ที่ขายอยู่ทุกวันนี้คือวิชาชีพต่างหาก...”
บางถ้อยคำของผู้ตัดสินไทยรายหนึ่งที่ตัดพ้อให้ผมฟังถึงสภาพการณ์ปัจจุบันในวงการที่ตนเองได้คลุกคลีอยู่แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ เนื่องจากหากเกินตัวไปพาลจะเกิดปัญหามาสู่หน้าที่การงานของตนเองเอาง่ายๆ
การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสินไทยเวลานี้เจอกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบเป็นอย่างมาก แรกๆยังพอทำเนาได้ เพราะความเป็นมนุษย์จะให้เป๊ะร้อยเปอร์เซ็นต์คงเป็นไปไม่ได้ แต่หลังๆ พอชักหนักข้อขึ้นหลายฝ่ายก็เริ่มที่จะสงสัยว่าที่ผิดพลาดนั้นมีมีลับลมคมในอะไรหรือเปล่า โดยหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้หลายคนเริ่มตั้งแง่ก็คือบทลงโทษของผู้ตัดสินที่ทำหน้าที่ผิดพลาดเหล่านั้น
ผมยังจำถึงวันแรกที่มีการตั้งคณะกรรมการฝ่ายป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในวงการฟุตบอล โดยมี “บิ๊กย้อย” พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นั่งเป็นประธานได้อย่างดี เพราะในวันนั้นยังเปิดให้สื่อมวลชนที่รอติดตามความคืบหน้าของ นายมานพ ปานสาคร หรือ “เปาตาข่ายขาด” ได้ร่วมโหวตชื่อย่อของทีมงานชุดนี้จนได้ชื่อเก๋ๆว่า “คปบ.”
หลายฝ่ายเริ่มตื่นตัวเนื่องจากมีการนำเอาเทคโนโลยีของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาใช้สอบสวนเช่นการสอบปากคำหรือเข้าเครื่องจับเท็จ จนสุดท้าย นายมานพ โดนลงดาบแบน 4 ปี เหมือนเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ลางๆ แต่แล้วคล้อยหลังไม่ถึง 10 เดือน เชิ้ตดำรายดังกล่าวก็สามารถกลับมาทำหน้าที่ต่อได้ตามปกติ เนื่องจากมีการอนุมัติลดโทษให้ แต่ที่น่าขำไปกว่านั้นคือเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำลักษะคล้ายกัน นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ(สมัยนั้น) กลับบอกว่า “คปบ.” นั้นไม่มีแล้ว! ก็เลยได้แต่งงว่าแล้วท่านจะตั้งมาทำ_อะไร
เท่ากับว่าบทลงโทษทุกอย่างของเชิ้ตดำบ้านเรายังอยู่ในดุลยพินิจของ พล.ท.ชินเสณ ทองโกมล เสธ.ทหารที่ได้นั่งแท่นประธานคณะกรรมการแต่งตั้งและประเมินผู้ตัดสินของสมาคมฟุตบอลฯ ซึ่งแม้ว่าหลายครั้งที่ “เสธ.ตุ้ม” ออกมาย้ำว่ามีการพิจารณาบทลงโทษกับเปาที่ทำผิดเสมอ แต่สื่อมวลชนและแฟนบอลกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
เช่นในกรณีที่ “เปาหนอม” ถนอม บริคุต โดนลอบยิง ทั้งที่ฝ่ายสืบสวนออกมาตั้งสันนิษฐานโดยมีเรื่องของการพนันเป็น 1 ในปมเหตุครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นการขัดต่อศีลธรรมกับงานที่ทำอย่างมาก แต่นายใหญ่เปาไทยกลับไม่เคยออกมาบอกว่าจะนำลูก (รัก) น้องรายนี้ไปสอบสวนเค้นความจริง อีกทั้งยังอ้าแขนรับให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ต่ออีกต่างหาก ผมจึงได้แต่กังวลว่าคดีนี้พอสาวไปลึกๆ จะเจอ “ตอชิ้นเป้ง” แล้วสุดท้ายถูกปิดด้วยการยิงผิดตัวไปนี่สิ
และยิ่งเวลานี้ใกล้ถึงวันเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯคนใหม่เข้าทุกขณะ สังเกตได้ว่าช่วงนี้ทีมใดมีปัญหาอะไรสมาคมฟุตบอลฯช่วยเคลียร์ได้ดั่งใจหมด ล่าสุดเพิ่งลงดาบแบนเปายกชุดเป็นปีๆตามที่ สโมสรสิงห์ท่าเรือ ที่มี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เป็นประธานสโมสรกิตติมศักดิ์ เรียกร้อง อีกทั้งหลายทีมยังขอลดโทษใบแดงที่ได้รับอย่างราบรื่น รวมถึงอุทธรณ์ได้แม้กระทั่ง “ใบเหลือง” !!
ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวส่วนใหญ่เหมือนจะเป็นที่ปลายทางเสียมากกว่า และ “บังยี” เองก็น่าจะรู้ถึงต้นตออยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ประกาศออกมาว่าหากตนได้นั่งบัลลังก์ต่ออีกสมัยจะมีการสังคายนาวงการเชิ้ตดำครั้งใหญ่ แต่ก็อดถามกลับไม่ได้ว่าตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ท่านมัวทำอะไรอยู่