ความตั้งใจของ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี ในการแก้ไขข้อบังคับของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่มีหัวข้อระบุใช้ 72 เสียงในการโหวตเลือกตั้งนายกสมาคมฯคนใหม่ นั้นอาจจะสลาย หลังมีเอกสารหลุดออกมาว่า กรมการปกครอง ตั้งข้อสังเกตถึงจำนวนเสียงดังกล่าวอาจไม่สอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และบางคำยามศัพท์ในข้อบังคับใหม่ถึงขั้นอาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ หลังจากมีสมาชิกในเว็บบอร์ดกระทู้ฟุตบอลไทยชื่อดัง www.thailandsusu.com ออกมาตีแผ่ถึงเอกสารที่กรมการปกครอง ชี้แจงต่อทาง การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ถึงกรณีปัญหาการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ยังคาราคาซัง โดยเอกสารดังกล่าวได้จ่าถึง กกท.โดยระบุว่าตามที่ กกท.ได้ขอหารือประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฟุตบอลฯ ต่อนายทะเบียนสมาคมกรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 19 ก.ค. 56
ซึ่งทางที่ประชุมคณะทำงานฯได้มีความเห็นดังนี้ คือ 1.แม้ว่าที่ประชุมใหญ่ของสมาคมฟุตบอลฯ จะมีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของสมาคมฯแล้วก็ตาม แต่หากนายทะเบียนสมาคมฯยังมิได้จดทะเบียนให้ก็ยังไม่มีผลใช้บังคับแต่อย่างใด จึงไม่สามารถนำข้อบังคับที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยมติที่ประชุมใหญ่ไปใช้ในการเลือกตั้งนายกสมาคมฯคราวนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 84
ทั้งนี้ในใจความของเอกสารข้อที่ 3 ทางคณะทำงานฯ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างข้อบังคับของสมาคมฟุตบอลฯฉบับใหม่ว่า 3.1 “การกำหนดวัตถุประสงค์ในร่างข้อบังคับใหม่ อาจไม่สอดคล้องกับแนวคิดและหลักการในการกำหนดวัตถุประสงค์ของสมาคมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 78 เนื่องจากร่างข้อบังคับฉบับใหม่เป็นการนำธรรมนูญมาตรฐานของฟีฟามาแปลโดยไม่มีการปรับปรุงถ้อยคำสำนวนกฎหมายตามหลักภาษาไทย จึงทำให้ความหมายของคำว่า “วัตถุประสงค์” เบี่ยงเบนไปจากสาระสำคัญในร่างข้อบังคับเดิมเป็นอันมาก”
พร้อมกันนี้ใน ข้อ 3.3 ยังได้ระบุถึงเรื่องการเปลี่ยนจำนวนเสียงของสโมสรสมาชิกที่จะใช้โหวตเลือกตั้งนายกสมาคมฯให้เหลือ 72 เสียง ว่า “ร่างข้อบังคับของสมาคมฯ ข้อ 21 ได้กำหนดเรื่ององค์ประชุมของที่ประชุมใหญ่ว่า “ที่ประชุมใหญ่ประกอบด้วยผู้แทนจำนวน 72 คน” ซึ่งขัดแย้งกับข้อ 12 ที่กำหนดว่า “สมาชิกของสมาคมมีสิทธิดังนี้ ก) มีส่วนร่วมในการประชุมใหญ่ของสมาคม ข) เตรียมร่างข้อเสนอบรรจุในระเบียบวาระการประชุมของที่ประชุมใหญ่ และ ค) มีสิทธิเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสภากรรมการของสมาคม”
ฉะนั้นเมื่อสมาชิกสมาคมฯทุกคนมีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมใหญ่และมีสิทธิ์เสนอร่างข้อเสนอในการประชุม ตลอดจนมีสิทธิ์เสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสภากรรมการของสมาคมฯในการประชุมใหญ่ จึงต้องนับสมาชิกสมาคมฯทุกคนที่เข้าร่วมประชุมเป็นองค์ประชุม และมีสิทธิ์ลงมติด้วย ซึ่งเป็นการสอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 86
รวมถึงในข้อ 3.5 ที่ระบุว่าข้อบังคับใหม่ของสมาคมฟุตบอลฯอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ “ร่างข้อบังคับใหม่ของสมาคมฯให้คำนิยามคำศัพท์ว่า “ศาลยุติธรรม” หมายถึงศาลของรัฐซึ่งฟังสาธารณชนและข้อพิพาททางกฎหมายส่วนบุคคล ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 219 ที่ระบุว่า “ศาลยุติธรรม มี 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา” ดังนั้นร่างข้อบังคับใหม่ของสมาคมในส่วนนี้อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550”
รูปภาพเอกสารจาก http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?PHPSESSID=74d26968ffdd207428ba3f55e22fd9a4&/topic,303767.0.html