เอเยนซี - "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค สโมสรมหาอำนาจประจำเวที บุนเดสลีกา เยอรมนี ลบฝันร้ายจากเมื่อฤดูกาลที่แล้วด้วยการก้าวไปคว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก สมัยที่ 5 หลังจากทำศึกสายเลือดชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2-1 ที่ เวมบลีย์ สเตเดียม เมื่อวันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงปรากฎการณ์ใหม่จากเมืองเบียร์ที่กำลังจะมายึดหัวหาดลูกหนัง หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ซบเซาทั้งระดับสโมสร รวมถึงสูญญากาศระดับทีมชาติที่ใช้เวลาเปลี่ยนถ่ายเลือดอยู่พักใหญ่
อาร์เยน ร็อบเบน เป็นคนจ่ายประตูแรกให้ มาริโอ มานด์ซูคิช กองหน้าทีมชาติโครเอเชียจิ้มระยะเผาขนเข้าไปนาที 60 แต่ ดอร์ทมุนด์ มาได้จุดโทษตีเสมอเมื่อ ดานเต ไปเข้าพรวดยกขาดักฟาวล์ใส่ยอดอกของ มาร์โก รอยส์ ก่อนที่ อิลคาย กุนโดกัน จะสังหารตีเสมอ 1-1 นาที 68 อย่างไรก็ตามปีกเลือดดัตช์มาสวมบทพระเอกใช้ความเร็วเข้าไปฉกบอลที่ ฟรองค์ ริเบรี ปีกร่วมค่ายดูดลงมา จากนั้นจึงกระชากเข้าไปซัดไม่เหลือนาที 89 ส่ง บาเยิร์น คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 และถือเป็นแชมป์ครั้งแรกจากการเข้าชิง 3 หน ใน 4 ปีหลังสุด ส่วน "เสือเหลือง" อกหักวืดสะสมไมล์แชมป์เพิ่มจากปี 1997 ส่วนอีกสโมสรเยอรมนีที่เคยได้แชมป์ใบนี้ก็คือ ฮัมบูร์ก ปี 1983
หลังเกม ร็อบเบน นักเตะที่คว้าแชมป์ลีกกับ 4 ประเทศคือ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน, เชลซี, รีล มาดริด และ บาเยิร์น มิวนิก แต่ถ้วย ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ครั้งนี้ถือเป็นหนแรก สุดสะใจที่คืนฟอร์มเก่ง หลังจากปีที่แล้วถูก ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ตำนานทีมชาติเยอรมนี และประธานกิตติมศักดิ์ของ บาเยิร์น วิจารณ์ว่าเล่นเห็นแก่ตัวเกินไป แถมยังเป็นคนพลาดจุดโทษนัดชิงยุโรปปีที่แล้วช่วงต่อเวลาพิเศษก่อนที่จะดวลเป้าแพ้ เชลซี 3-4 หลังเสมอกัน 1-1
“ผมมีแรงกระตุ้นล้นเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเมื่อปีที่แล้วที่ถือว่าน่าผิดหวัง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และคุณต้องเดินต่อไป อาชีพค้าแข้งต้องผ่านอะไรมากมาย แต่ใครก็ไม่อยากจะแพ้ หรือต้องเลิกในฐานะรองแชมป์เสมอไป ซึ่ง บาเยิร์น คู่ควรกับชัยชนะจริงๆ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วที่ผมฝันถึงวันนี้ เป็นความรู้สึกสุดยอดจริงๆ ทุกคนคุยกันก่อนเกมถึงค่ำคืนนี้ว่าจะต้องทำให้ได้” แข้งวัย 29 ปีเผย
ส่วน จุ๊ปป์ ไฮย์นเกส กลายเป็นกุนซือลำดับที่ 4 สามารถคว้าแชมป์สโมสรยุโรปใบใหญ่สุดกับ 2 ทีมแตกต่างกันต่อจาก เออร์เนสต์ ฮัปเปล, อ็อตต์มาร์ ฮิตซ์เฟลด์ และ โชเซ มูรินโญ ยังมีลุ้นพา บาเยิร์น เป็นทีมแรกของเยอรมนีที่คว้าทริปเปิลแชมป์ด้วย โดยจะชิง เดเอฟเบ โพคาล พบ สตุ๊ตการ์ท วันที่ 1 มิถุนายนนี้ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ถาดแชมป์ บุนเดสลีกา มาครองแล้ว ซึ่งนายใหญ่วัย 68 ปียังไม่ตัดสินอนาคต เพราะมีข่าวว่าจะอำลาวงการด้วยวัย 68 ปี แต่จะรอให้เสร็จสิ้นภารกิจและส่งมอบมรดกให้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ชาวสแปนิชที่จะมาคุมถิ่น อัลลิอันซ์ อารีนา ในฤดูกาลหน้า
“การตัดสินใจเกี่ยวกับอะไรที่ผมจะทำต่อไป นับจากวันนี้น่ะหรือ? วางมือ? ไม่ คุณจะรู้เรื่องนั้น หลังจบรอบชิงชนะเลิศ ฟุตบอลถ้วย เกมนี้ถือว่ามีความกดดันสำหรับทั้ง 2 ทีม แต่แน่นอนเรารู้สึกถึงความยากลำบากในการเป็นตัวเต็งช่วง 20 นาทีแรก เราไม่ได้เล่นตามเกมของเราตลอดครึ่งแรก ดังนั้น ผมต้องปรับหมากทันทีและก็ได้ผล สุดท้ายเราทุกคนดีใจสุดๆ นักเตะและผมจะฉลองกันอย่างเต็มที่ เพราะเราทำได้ แต่ผมมั่นใจพวกเขาจะไม่หลงระเริง เพราะมีอีกงานรออยู่” ไฮย์นเกส ทิ้งท้าย
ขณะที่ เจอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่ ดอร์ทมุนด์ หลังปีที่แล้วตกรอบแรก แต่กลับไปทำการบ้านมาดีปีนี้ผ่าน “กรุ๊ป ออฟ เดธ” ในฐานะแชมป์กลุ่ม ลั่นจะขอทะลุสู่รอบชิงยุโรปอีกครั้ง แม้ว่าช่วงซัมเมอร์นี้จะเสียกำลังหลักอย่าง มาริโอ เกิทเซ กองกลางที่จะอยู่ไปอยู่กับ บาเยิร์น รวมถึง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี หอกทีมชาติโปแลนด์ ที่อนาคตน่าจะถูกเฉลยออกมาในเร็ววันนี้ว่าจะเป็นถิ่น อัลลิอันซ์ อารีนา หรือไม่
"ผมรู้สึกภูมิใจ แต่ก็เศร้ามากด้วย ถือเป็นฤดูกาลอันยอดเยี่ยมของ ดอร์ทมุนด์ ส่วนเกมนี้ก็เล่นกันดีไม่น้อย จากนี้คือเวลาของการพักผ่อนและก็มองหาผู้เล่นมาเสริมทัพ เพราะมีหลายสโมสรอยากได้นักเตะของเรา ดังนั้นอาจจะต้องมาตั้งต้นกันใหม่อีกครั้ง อีก 2 ปีจะชิงกันที่ โอลิมปิก สเตเดียม ของ เบอร์ลิน ถือเป็นโอกาสดีที่จะกลับไปอีกครั้ง เพราะเราแสดให้เห็นแล้วว่าคู่ควรแค่ไหน แฟนบอลทุกคนก็สุดยอดจากบรรยากาศที่ได้สัมผัส ผมบอกทุกคนว่าต้องกลับมาให้ได้" คล็อปป์ เผย
ย้อนไปประมาณ 12 ปีก่อน บาเยิร์น ก็เคยเข้าชิงลักษณะนี้คือ 3 จาก 4 ปีและคว้าแชมป์มาได้ปี 2001 ที่ชนะจุดโทษ บาเลนเซีย จากนั้นก็เปลี่ยนถ่ายมาเป็นยุคทองของลูกหนัง สเปน และ อังกฤษ โดยเฉพาะเมืองผู้ดีที่ผ่านเข้าสู่รอบชิง 5 ปีติดต่อกันเลยทีเดียว เนื่องจากตอนนั้นทีมเยอรมนีประสบปัญหาด้านการเงินไม่น้อยหลายสโมสรต้องรัดเข็มขัดไม่มีการเสริมทัพแข้งระดับบิ๊กเนม โดยยอมทิ้งการแข่งขันยุโรปและเน้นประคองตัวให้อยู่รอดเพียงแค่ในประเทศเท่านั้น แต่ตอนนี้ "เสือใต้" สามารถที่จะยำใหญ่ บาร์เซโลนา 2 นัดด้วยสกอร์ 7-0 ส่วน ดอร์ทมุนด์ ก็ผ่าน รีล มาดริด มาได้ในรอบตัดเชือก เชื่อเหลือเกินว่าฤดูกาลหน้าทั้งคู่น่าจะถูกยกให้เป็นตัวเต็งระดับต้นๆ และคงไม่มีใครอยากจะเผชิญหน้าด้วยอย่างแน่นอน
ส่วนทีมชาติเยอรมนีตอนนี้รั้งเบอร์ 2 ของโลกกำลังไล่ล่า สเปน ชนิดหายใจรดต้นคอ เพราะหลังจากตกรอบแรก ยูโร 2 หนติดต่อกันคือปี 2000 และ 2004 ก็มีการปฎิวัติกันยกใหญ่ก่อนจะคว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลกปี 2006 และ 2010 ตามด้วยรอบแชมป์ ยูโร 2008 และล่าสุดที่ โปแลนด์ กับ ยูเครน ก็เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ถือว่าช่วงสูญญากาศนั้น "อินทรีเหล็ก" ไปพัฒนาดาวรุ่งมาได้อย่างเห็นผลชัดเจนทุกคนอายุยังน้อยระดับ 20 ต้นๆ เท่านั้นเองเฉลี่ยแล้วอายุน้อยมากเมื่อเทียบกับชาติอื่น ถือว่าสมาคมฟุตบอลเมืองเบียร์มีการพัฒนาอย่างเป็นมืออาชีพระบบระเบียบแบบแผนและมีเป้าหมายกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่าสัมฤทธิ์ผลขนาดไหน