ASTV ผู้จัดการรายวัน – หลัง วินฟรีด เชเฟอร์ ก้าวเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทัพนักเตะทีมชาติไทย อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2011 เบ็ดเสร็จ ณ ปัจจุบัน นับเวลาได้เกือบ 2 ปีเต็ม แม้แฟนบอลหลายเสียงจะออกโรงสนับสนุนกุนซือเยอรมันว่า เป็นผู้กอบกู้ “ศรัทธา” ของกองเชียร์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย คือ ผลงานของทีมชาติไทยภายใต้การคุมบังเหียนของ “วินนี” ยังไม่มีความสำเร็จใดที่จับต้องได้
เชเฟอร์ ประเดิมคุมทีมชาติด้วยผลงานอันดับ 4 ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ ครั้งที่ 41 ต่อด้วยตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2014 และปิดท้ายที่ตำแหน่งพระรองฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2012 ก่อนที่จะประเดิมศักราชใหม่ ปี 2013 ด้วยการพ่าย ฟินแลนด์ ยับ 1-3 ในคิงส์คัพ ครั้งที่ 42 ที่ผ่านมา ซึ่งถ้าเทียบระหว่างเม็ดเงินที่ต้องจ่ายเป็นค่าจ้างให้เทรนเนอร์วัย 63 ปีรายนี้ กว่า 1.6 ล้านบาทต่อเดือน กับผลงานที่ออกมา กลับไม่ได้แตกต่างจากกุนซือที่แล้วมาเลย
โดย วิทยา เลาหกุล ผู้ฝึกสอนมากประสบการณ์ และประธานเทคนิคสโมสรชลบุรี เอฟซี ได้แสดงทัศนะถึงเรื่องนี้ ว่า การทำทีมของ “วินนี” ยังไม่มีสไตล์ที่ชัดเจน “วินนี อาจยังไม่เข้าใจนิสัยคนไทยเท่าที่ควร ว่า ส่วนมากไม่ค่อยมีความรับผิดชอบเท่าไร รวมถึงจิตวิทยาการทำทีมที่เน้นการซ้อมเบาๆ เพื่อคงความฟิตของนักเตะมากกว่าแผนการเล่น ล่าสุดแม้ว่าเจ้าตัวจะประกาศว่าจะเล่นบอลแบบทะลุช่อง เน้นการผ่านบอลสั้นไปมา แต่นัดที่แพ้ ฟินแลนด์ ผมก็ไม่เห็นว่าจะเป็นไปตามนั้น”
“วินนี โทรศัพท์มาปรึกษากับผมบ่อยครั้ง แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจเรื่องวิธีการเตรียมทีมที่ดูแปลกของเขาที่ไม่มีคอนเซ็ปต์หรือรูปแบบการเล่นที่ชัดเจน จึงไม่สามารถพูดได้ว่าทีมชาติไทยกำลังก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคต เพราะค่าจ้างที่แพงขนาดนั้นเราสามารถจ้างทีมงานจากเกาหลีและญี่ปุ่น หรือแม้โค้ชไทยก็ทำได้ และที่สำคัญทีมชาติไทยยังไม่มีฝ่ายเทคนิคที่คอยประสานงานวางรากฐานต่อให้เปลี่ยนคนอื่นเข้ามาแทนในตอนนี้ก็ต้องมานั่งนับ 1 กันใหม่และคงออกมาแบบเดิม” โค้ชเฮงเผย
ด้าน วรวรรณ ชิตะวณิช อดีตเฮดโค้ช เทมปิเนส โรเวอร์ และ เซมบาวัง ใน เอสลีก ประเทศสิงค์โปร์ เชื่อที่ทีมชาติไทยดูพัฒนาขี้นเป็นเพราะผลพวงจากลีก มากกว่าฝีมือของโค้ช “ต้องพูดตามความจริงเลยว่าภาพรวมเรายังไม่ดี ไม่ประสบความสำเร็จ จากที่เคยเป็นเต้ยในอาเซียน เรากลับได้แค่รองแชมป์ หากพูดว่าตอนนี้ทีมชาติไทยกำลังไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผมพูดเลยว่าที่ดูพัฒนาขึ้นได้ก็เพราะมาจากฟุตบอลลีกในประเทศที่แข็งแกร่งและเป็นมืออาชีพขึ้น เพราะหากว่าทีมชาติพัฒนาเพราะโค้ชจริงมันต้องดีกว่านี้”
“ซึ่งผมเชื่อว่า รายการเอเชียน คัพ 2 นัดแรก จะเป็นตัวตัดสินอนาคต เพราะหากผลงานแย่ก็ควรต้องเปิดทางให้คนใหม่เข้ามาทำแทนใน 4 นัดที่เหลือ และควรจะเปิดโอกาสให้คนไทยที่มีฝีมือและประสบความสำเร็จได้เข้ามา และที่สำคัญ อย่าตั้งแง่ว่าโค้ชไทยไม่อินเตอร์ และฝีมือสู้ไม่ได้ เพราะคนที่เก่งๆ ยังมีอีกเยอะ” โค้ชป้ำ ชี้ชัด
ขณะที่ ชาญวิทย์ ผลชีวิน อดีตกุนซือทีมชาติไทย ฟันธงโค้ชทีมชาติจ้างมาเพื่อชัยชนะ ไม่ใช่เพื่อวางรากฐาน “มองในฐานะคนนอกผมก็คิดว่าการทำทีมของ เชเฟอร์ ดูแปลกๆ เช่น การประกาศชื่อนักเตะ หรือการเตรียมทีมชุดคิงส์คัพ แทนที่จะใช้นักเตะชุดที่จะเล่นในเอเชียนคัพ รวมถึงผลงานที่ผ่านมา 1 ปีกว่า ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิม เช่นการไม่ได้แชมป์ ซูซูกิคัพ ซึ่งถ้าเป็นโค้ชคนไทยก็คงโดนปลดไปนานแล้ว ยิ่งถ้าเทียบกับค่าจ้างที่ได้ยิ่งถือว่าไม่คุ้ม เพราะโค้ชไทยก็ทำได้ ตอนนี้บ้านเรามีลีกอาชีพ มีโค้ชดีๆ หลายคนควรจะให้โอกาสบ้าง สำหรับ วินนี เราได้เคยให้โอกาสแล้วด้วยไม่ใช่ไม่เคย”
“ส่วนที่ว่ามีแผนการทำทีมเพื่อพัฒนาตั้งแต่รากฐานนั้น ผมไม่เห็นด้วย และกล้าพูดเลยว่าไม่ใช่หน้าที่ เพราะโค้ชทีมชาติชุดใหญ่ถูกจ้างมาเพื่อชัยชนะเพื่อความสำเร็จ และควรจะมีผลงานที่จับต้องได้ในระยะเวลาอันสมควร ส่วนเรื่องพัฒนารากฐานเยาวชนระยะยาวนั้นเรามีแต่ละสโมสรต้นสังกัดเป็นผู้ดูและพัฒนาอยู่แล้ว หรือแม้แต่โค้ชไทยในชุดเยาวชนก็ทำได้” โค้ชหรั่ง ยืนยัน
ถือเป็นสัจธรรมของโลกฟุตบอลตัวชี้วัด ก็คือ ความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน เพราฉะนั้นศึก เอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก ที่จะประเดิมเปิด ราชมังคลากีฬาสถาน รับมือ คูเวต นัดแรกวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ คงเป็นเครื่องชี้วัดอนาคต เชเฟอร์ ว่า หมดเวลาแล้วหรือยังกับบทบาทนายใหญ่ “ช้างศึก” ที่อดทนรอเกียรติยศมานานและอาจจะต้องถึงการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง