ASTV ผู้จัดการรายวัน - หากจะกล่าวว่าเวที “ไทย พรีเมียร์ ลีก” เล็กเกินไปแล้วสำหรับฝีเท้าของ ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าสโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แชมป์ฤดูกาล 2012 ที่ผ่านมา คงไม่เกินจริงนักจากผลงานซัด 24 ประตูคว้าดาวซัลโว จากนี้ทุกคนกำลังจับตามองถึงก้าวต่อไปของ “เจ้ามุ้ย” ที่มีข่าวว่ากำลังจะไปค้าแข้งยุโรปกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน และ แอตเลติโก มาดริด
อดีตดาวรุ่งจาก ราชประชา สโมสรเก่าแก่ประจำลีกฟุตบอลเมืองไทย ย้ายมาอยู่กับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เมื่อปี 2007 ก่อนถูกส่งไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทดสอบฝีเท้ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี แห่งศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ แต่ด้วยปัญหาเวิร์กเพอร์มิต (ใบอนุญาตการทำงาน) ทำให้ “เรือใบสีฟ้า” ต้องปล่อยต่อให้ กราสฮอปเปอร์ ซูริก จากสวิตเซอร์แลนด์ยืมใช้งาน ซึ่งครั้งนั้นถือเป็นการชิมลางเวทียุโรปอย่างแท้จริง ก่อนกลับมาดังเป็นพลุแตกบนเวทีไทยลีกจนได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์หน้าหมายเลข 1 ของทีมชาติไทยยุคปัจจุบัน
จากข่าวที่เกิดขึ้น ธีรศิลป์ เผยว่า ฤดูกาลหน้าอาจไม่ได้ล่าตาข่ายในถิ่น เอสซีจี สเตเดียม ต่อไป เพราะโอกาสที่จะได้ไปค้าแข้งต่างแดนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งลีกดังอย่าง ลา ลีกา สเปน และ เอเรดิวีซี พรีเมียร์ ดัตช์ หรืออาจจะเป็น แทร็ปซอนสปอร์ ของตุรกี รวมถึงสโมสรเบลเยียม ซึ่งหลังจบศึก “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012” ระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน ถึง 22 ธันวาคมนี้ น่าจะทราบการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้
“คือ โอกาสดีมากๆ ที่นักเตะไทยสักคนจะได้ถูกส่งไปค้าแข้งในลีกยุโรป เพราะจากสโมสรในศึก ไทย พรีเมียร์ ลีก ทั้งหมด 18 ทีมมีผู้เล่นมากมายกว่า 100 คนที่ฝันแบบนี้และผมคือหนึ่งในนั้นคนที่เป็นไปได้ที่สุด ยังไงก็คงต้องคว้าเอาไว้ก่อน” ศูนย์หน้าวัยเพียง 24 ปี กล่าว
“เจ้ามุ้ย” ยังได้เล่าถึงประสบการณ์การทดสอบฝีเท้ากับ แมนฯซิตี และ กราสฮอปเปอร์ ว่า “ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเป็นข้อได้เปรียบกว่านักเตะรายอื่นๆ จนสามารถต่อยอดมาปรับใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ โดยได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ที่เคยผ่านสังเวียนระดับยุโรปอย่าง วิทยา เลาหกุล (แฮร์ธา เบอร์ลิน) และ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (ฮัดเดอร์ฟิลด์) ว่า ให้ระวังการใช้ชีวิตนอกสนาม เรื่องส่วนตัว สภาพอากาศ และเรื่องอาหาร แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ยังไงอยากให้ได้ไปลองสัมผัสด้วยตนเองมากกว่า”
เมื่อถูกถามถึงสไตล์การเล่นของลีกไหนจะเหมาะกับรูปแบบของตัวเองมากที่สุด หัวหอกทีมชาติไทย เผยว่า “ตอนนี้คงยังบอกไม่ได้และไม่มีใครรู้ว่าลีกนั้นจะเหมาะกับเราหรือไม่ สิ่งเดียวที่ทำได้คือต้องลงไปสัมผัสเกมด้วยตัวเอง แต่หากเลือกผิดพลาดย้ายไปและไม่ประสบความสำเร็จผมจะไม่โทษการตัดสินใจของตัวเอง แต่จะมุ่งมั่นทำผลงานในสนามให้ดี ขนาดนักเตะระดับโลกยังก้าวพลั้งกันได้ ความฝันตั้งแต่เด็กของผมคือการเป็นนักฟุตบอลและเมื่อมาได้ไกลขนาดนี้คงไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดไปอยู่แล้ว”
ขณะที่ประเด็นในเรื่องค่าเหนื่อยและค่าตัวที่ถูกตั้งไว้สูงถึงหลัก 7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 224 ล้านบาท) หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของแข้งไทยเลยทีเดียว โดยเจ้าของรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำศึก ไทย พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาล 2012 เผยว่า “ผมไม่รู้สึกกดดัน และเชื่อว่า จะไม่มีผลต่อฟอร์มการเล่นในสนาม โดยส่วนตัวแล้วกังวลในเรื่องการปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมทีมและการใช้ชีวิตที่ต่างแดนมากกว่า ส่วนเรื่องค่าเหนื่อยยังไม่ขอลงลึกในรายละเอียดใดๆ ทั้งสิ้นแล้วแต่ผู้ใหญ่”
ท้ายที่สุด ธีรศิลป์ ตอบคำถามที่จั่วหัวไว้เบื้องต้นว่า “ไทย พรีเมียร์ ลีก” นั้นเล็กเกินไปแล้วหรือไม่สำหรับฝีเท้าของตนเอง ว่า “คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เพราะผมสร้างชื่อมากับลีกนี้ และเป็นลีกสูงสุดของเมืองไทย ความฝันของนักฟุตบอลคือการเล่นลีกสูงสุดของประเทศและผมยังอยู่ในจุดนี้ ก่อนที่จะได้โอกาสในการไปค้าแข้งในยุโรปที่ต้องติดตามดูว่าจะลงเอยกับสโมสรใด”