แดนนี เวลเบ็ค หัวหอกดาวรุ่งของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถูกสื่อเมืองผู้ดียกประเด็นการเปลี่ยนรองเท้าไปแล้วถึง 3 คู่ในฤดูกาลนี้ กว่าจะถูกใจจนเจ้าตัวมายิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีก กับ สโต๊ก ซิตี ได้สำเร็จเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
“เดลี เมล์” สื่อจอมล้วงลูกของอังกฤษ รายงานว่า ตั้งแต่เปิดฤดูกาล 2012-13 มา 2 เดือน เวลเบ็ค ดาวเตะ ยูไนเต็ด เปลี่ยนรองเท้าไปแล้วถึง 3 คู่ด้วยกันโดยสลับจากไนกี ไปใส่อดิดาส และกลับมาใส่ไนกี อีกรอบ โดยตามรายงานหอกรายนี้น่าจะมีสัญญาอยู่กับไนกี 4 ปี ทว่า เขาก็เปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งในเกมคัดเลือกฟุตบอลโลก กับทีมชาติอังกฤษ อย่างหน้าตาเฉย
เวลเบ็ค เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการใส่ ไนกี ที 90 เลเซอร์ ก่อนเปลี่ยนมาใส่ อาดิดาส เอฟ 50 อดิซีโร ในแมตช์ทีมชาติ และเปลี่ยนกลับมาใส่ เมอร์คิวเรียล เวเปอร์ 8 รุ่นใหม่ของไนกี อีกครั้งในแมตช์พรีเมียร์ลีก ที่ไล่ถล่ม สโต๊ก ซิตี 4-2 ซึ่งเขาสามารถปลดล็อกยิงประตูแรกในลีก ซีซั่นนี้
จากเหตุการณ์นี้ทำให้บรรดากุนซือดังในลีกเมืองผู้ดีต่างออกมาให้ความเห็นว่า รองเท้าฟุตบอลสมัยนี้เป็นเหมือนแฟชัน และเป็นเรื่องของธุรกิจของเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่ต้องออกแบบมาในรุ่นและสีที่ต่างกัน เพื่อการแข่งขันด้านการตลาด ต่างจากในสมัยก่อนที่มีเพียงสีดำแบบเดียวเหมือนกันหมดทุกคน
มาร์ติน โอนีล นายใหญ่ ซันเดอร์แลนด์ เผยการเปลี่ยนแปลงนี้ ว่า “ถ้าถามว่าเมื่อไหร่ที่มันเริ่มเปลี่ยนไป ผมจำได้ว่า อลัน บอล เลือกจะใส่รองเท้าสีขาวลงมาเป็นคนแรกๆ และแน่นอนที่สุดเขา คือ สุดยอดผู้เล่น เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ แต่การสวมรองเท้าหลากสีก็ไม่ได้ช่วยให้คุณเป็นนักเตะที่เยี่ยมได้หรอกนะ และตอนนี้ใครๆ ก็สวมใส่มันกัทั้งนั้น”
มาร์ก ฮิวจ์ส ผู้จัดการทีม ควีนสปาร์ก เรนเจอร์ส และอดีตนักเตะ “ผีแดง” กล่าวว่า “สมัยที่ผมค้าแข้งผมมีรองเท้าสีดำแค่คู่เดียวเท่านั้น และใช้มั้นตั้งแต่เปิดยังปิดฤดูกาลเลย แต่เดี๋ยวนี้บริษัทผลิตรองเท้าบอกคุณว่าอาทิตย์นี้คุณใส่สีเขียว แต่เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะมีสีเขียวตัวใหม่ที่ออกมาอีก บริษัทผลิตรองเท้ามีความสำคัญมากกับนักเตะไปแล้ว”
ขณะที่ เดวิด มอยส์ กุนซือ เอฟเวอร์ตัน ชี้ว่า “มันเป็นเหมือนยุคสมัยที่เปลี่ยนไป สำหรับผมก็ต้องสตั๊ดสีดำเท่านั้น และยิ่งคุณเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟด้วยคุณจะไม่ต้องใส่สีอื่นๆ เลยนอกจากสีดำล้วน”